
หลายคนอาจมองว่า วิดีโอเกมกับมิวสิคัลเป็นสองสิ่งที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ความจริงแล้ว ทั้งสองสิ่งนี้สามารถผสมผสานกันได้อย่างลงตัวและสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับผู้เล่นได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเกมแนว Rhythm จะได้รับความนิยม และเกมอย่าง Persona ก็มีเพลงประกอบที่ยอดเยี่ยม แต่การเห็นตัวละครในเกมร้องเพลงและเต้นกลางฉากก็ยังคงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับผู้เล่นหลายคน
อย่างไรก็ตาม มีตัวอย่างมากมายที่พิสูจน์ให้เห็นว่าการนำเสนอฉากดนตรีในเกมสามารถสร้างความประทับใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ Mayor Pauline ร้องเพลง Jump Up Superstar ในเกม Super Mario Odyssey หรือฉากที่ Kingdom Hearts III สร้างสรรค์เพลง Let it Go จาก Frozen ขึ้นมาใหม่
แน่นอนว่า Final Fantasy คืออีกหนึ่งซีรีส์เกมที่โดดเด่นในเรื่องการนำเสนอฉากดนตรี แม้ว่าจะไม่ได้มีให้เห็นบ่อยครั้ง แต่ฉากดนตรีในเกม Final Fantasy แต่ละภาคก็มักจะสร้างความประทับใจให้กับแฟนเกมทั่วโลกเสมอ ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่า การผสมผสานระหว่างวิดีโอเกมและดนตรีนั้นสามารถทำได้สำเร็จอย่างน่าทึ่ง และสร้างความประทับใจให้กับผู้เล่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ และในวันนี้เราจะพาทุกคนไปพบกับ 6 ฉากมิวสิคัลใน Final Fantasy ที่คุณควรชมซึ่งหากใครพลาดเพลงไหนไปมาติดตามกันได้เลย!
6 ฉากมิวสิคัลใน Final Fantasy ที่คุณควรชม
1. Aria di Mezzo Carattere จาก Final Fantasy VI (1994)
ตัวละคร | Celes Chere |
เนื้อเพลง | Yoshinori Kitase |
ทำนอง | Nobuo Uematsu |
ผู้ขับร้อง | Hannah Grace (Pixel Remaster, ภาษาอังกฤษ) |
Final Fantasy VI ถือเป็นตำนานเกม RPG ที่ยังคงอยู่ในใจของผู้เล่นมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยเนื้อเรื่องที่เข้มข้น ตัวละครที่น่าประทับใจ และระบบเกมเพลย์ที่ล้ำสมัยในยุคนั้น หนึ่งในฉากที่โด่งดังและเป็นที่จดจำมากที่สุดของเกมนี้คือฉากโอเปร่า “Aria di Mezzo Carattere” ที่ Celes ต้องขึ้นเวทีร้องเพลง
Celes Chere อดีตนายพลของจักรวรรดิ Gestahlian ที่หันมาเข้าร่วมกับกลุ่มต่อต้าน ได้รับมอบหมายให้ปลอมตัวเป็นนักร้องโอเปร่าเพื่อล่อลวง Setzer เจ้าของเรือเหาะให้มาช่วยเหลือกลุ่มต่อต้าน ฉากนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและความเสียสละของ Celes เท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดเผยความสามารถที่ซ่อนเร้นของเธออีกด้วย
แม้ว่าฉากนี้จะถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่จำกัดในยุคนั้น แต่เสียงเพลงและเนื้อร้องที่กินใจก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้เล่นได้เป็นอย่างดี และกลายเป็นหนึ่งในฉากที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในวงการเกม จนกระทั่งในเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ ฉากนี้ก็ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นด้วยเสียงร้องจริงและภาพกราฟิกที่สวยงามยิ่งขึ้น
ฉากโอเปร่าของ Celes ไม่เพียงแต่เป็นเพียงฉากเพลงในเกม แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของตัวละคร Celes ด้วย และเป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังของดนตรีที่สามารถสร้างความประทับใจและดึงดูดอารมณ์ของผู้เล่นได้อย่างลึกซึ้ง
2. Real Emotion จาก Final Fantasy X-2 (2003)
ตัวละคร | Leblanc (ในร่างของ Yuna) |
เนื้อเพลง | Kenn Kato |
ทำนอง | Kazuhiro Hara |
ผู้ขับร้อง | Jade Villalon/Valerie (ภาษาอังกฤษ) |
Final Fantasy X-2 คือภาคต่อที่สร้างความฮือฮาและเสียงวิจารณ์มากมายในหมู่แฟนเกม Final Fantasy โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงโทนเรื่องที่แตกต่างจากภาคแรกอย่างสิ้นเชิง จากเรื่องราวเศร้ากลายเป็นเรื่องราวที่สดใสและเต็มไปด้วยสีสัน
ภาคนี้เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ด้วยเพลง Real Emotion ที่ติดหูและฉากคอนเสิร์ตสุดอลังการของ Yuna ในชุดนักร้องป๊อป ซึ่งแตกต่างจากภาพลักษณ์ของซัมมอนเนอร์ในภาคแรกอย่างสิ้นเชิง การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้แฟนเกมบางส่วนรู้สึกผิดหวังและคิดว่าภาคต่อนี้ทำลายความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อภาคแรก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Final Fantasy X-2 จะได้รับเสียงวิจารณ์ทั้งด้านบวกและด้านลบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมนี้เป็นภาคต่อที่น่าสนใจและสร้างสรรค์ โดยเฉพาะ Real Emotion ที่ไม่เพียงแต่เป็นเพลงประกอบที่ไพเราะ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเนื้อเรื่องและแนะนำตัวละครใหม่ ๆ นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดตัวระบบ Dresspheres ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเกมทั้งในส่วนของเนื้อเรื่องและการเล่นเกม และที่สำคัญที่สุด เพลงนี้ยังแนะนำตัวละครฝ่ายตรงข้าม แม้จะเป็นคู่แข่งที่ดูตลกขบขันมากกว่าศัตรูที่ต้องการทำลายโลกก็ตาม
3. 1000 Words จาก Final Fantasy X-2 (2003)
ตัวละคร | Yuna & Lenne |
เนื้อเพลง | Kazushige Nojima |
ทำนอง | Takahito Eguchi และ Noriko Matsueda |
ผู้ขับร้อง | Jade Villalon/Valerie (ภาษาอังกฤษ) |
ใน Final Fantasy X-2 หลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก Yuna ได้ก่อตั้งกลุ่ม Gullwings ขึ้นมาเพื่อค้นหาสเฟียร์ และหวังจะพบ Tidus อีกครั้ง การค้นหาครั้งนี้พาเธอไปพบกับเรื่องราวของ Lenne ซัมมอนเนอร์ในอดีต และเพลง 1000 Words ที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความหมายอันลึกซึ้ง
เพลง 1000 Words คือบทเพลงที่เล่าถึงความรักและความเศร้าของ Lenne และชายคนรักชื่อ Shuyin ซึ่งมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับ Tidus โดยความทรงจำของ Lenne ถูกเก็บไว้ใน Songstress Dressphere และเมื่อ Yuna สวมใส่ Dressphere นี้ เธอจะสามารถเข้าถึงความทรงจำของ Lenne ได้ ทำให้ผู้เล่นได้เห็นช่วงเวลาสุดท้ายของ Lenne และ Shuyin ที่น่าเศร้า
การร้องเพลง 1000 Words ในคอนเสิร์ตที่ Thunder Plains เป็นฉากที่สำคัญและกินใจผู้เล่นเป็นอย่างมาก เมื่อ Yuna ร้องเพลง ความทรงจำของ Lenne ก็ปรากฏขึ้นมา ทำให้ผู้เล่นได้สัมผัสถึงความรู้สึกของทั้งสองคน และเข้าใจถึงความเชื่อมโยงระหว่างอดีตและปัจจุบัน
เพลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่บทเพลงที่ไพเราะ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ความรัก และความสูญเสีย มันเป็นการแสดงออกถึงความพยายามของ Yuna ที่จะรักษาสันติภาพและหลีกเลี่ยงการเกิดสงครามอีกครั้ง และเป็นการเปิดเผยรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต เพลงนี้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่าง Yuna และ Lenne แม้จะห่างกันถึงหนึ่งพันปี และเป็นการปูทางไปสู่บทสุดท้ายของเกม
4. Stand Up จาก Final Fantasy VII Remake (2020)
ตัวละคร | นักแสดงบนเวที |
เนื้อเพลง | Motomu Toriyama |
ทำนอง | Mitsuto Suzuki และ Nozomi Toki |
ผู้ขับร้อง | Al Copeland |
หนึ่งในฉากที่แฟนเกม Final Fantasy VII ต่างตั้งตารอคอยมากที่สุดในภาค Remake คงหนีไม่พ้นฉากที่ Cloud ต้องแต่งหญิงและเต้นรำใน Honeybee Inn ซึ่งเป็นฉากที่สร้างความประทับใจให้กับผู้เล่นมาตั้งแต่ภาคต้นฉบับ และถึงแม้ว่าหลายคนจะเคยกังวลว่าฉากนี้จะถูกตัดออกไปในเวอร์ชั่น Remake เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของสังคม แต่ทีมพัฒนาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับการรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของเกมต้นฉบับ โดยนำเสนอฉากนี้ให้ออกมาได้อย่างน่าประทับใจยิ่งกว่าเดิม
ฉากนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ฉากตลกเอาฮาเท่านั้น แต่ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความงาม ความกล้าหาญ และการยอมรับในตัวเอง เพลง Stand Up ที่ขับกล่อมในฉากนี้ก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานและตื่นเต้น โดยเฉพาะเมื่อ Cloud ต้องเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเองและก้าวออกมาจาก Comfort Zone
นอกจากนี้ ฉากนี้ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของทีมพัฒนาที่มีต่อแฟนเกม โดยพวกเขาได้นำเอาองค์ประกอบต่าง ๆ จากเกมต้นฉบับมาปรับปรุงและพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันได้อย่างลงตัว ทำให้ผู้เล่นทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ต่างรู้สึกซาบซึ้งและประทับใจในความตั้งใจของทีมงาน
ฉากแต่งหญิงของ Cloud จึงไม่ใช่แค่ฉากที่สร้างความบันเทิง แต่ยังเป็นฉากที่แสดงให้เห็นถึงความสวยงามของการเป็นตัวของตัวเอง และเป็นการแสดงความเคารพต่อเกมต้นฉบับที่แฟนเกมทุกคนรักแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม ทำให้ผู้เล่นทุกคนไม่ว่าจะเป็นแฟนเกมรุ่นเก่าหรือผู้ที่เล่นเกมนี้เป็นครั้งแรก ต่างก็ต้องยิ้มออกมาอย่างมีความสุขขณะเล่นผ่านฉากนี้อย่างแน่นอน
5. Bare Your Soul จาก Final Fantasy VII Rebirth (2024)
ตัวละคร | นักแสดงบนเวที |
เนื้อเพลง | Motomu Toriyama |
ทำนอง | Mitsuto Suzuki และ Nozomi Toki |
ผู้ขับร้อง | นักร้องจำนวนหลายคน |
หลังจากที่ภาค Remake ทำให้แฟน ๆ อดใจรอคอยฉากดนตรีและการเต้นสุดอลังการไม่ได้ ภาค Rebirth ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยการนำเสนอฉากเต้นถึงสองฉาก โดยฉากแรกที่เราจะได้พบคือ Bare Your Soul ซึ่งมีบทบาทคล้ายกับเพลง Stand Up ในภาคแรก นำพาเราไปสู่ Gold Saucer สวนสนุกและคาสิโนสุดหรูที่เต็มไปด้วยสีสันและความบันเทิง
เมื่อมาถึง Gold Saucer เราจะได้พบกับบรรยากาศที่คึกคักและเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย และเพลง Bare Your Soul ก็ดังขึ้นเมื่อ Cloud และเพื่อน ๆ เดินทางมาถึงชั้นหลัก ทำให้เกิดการแข่งขันเต้นระหว่างทีมของ Yuffie และทีมของ Andrea ซึ่งสุดท้ายแล้วทีมของ Yuffie ก็เป็นฝ่ายชนะ แต่ความสนุกสนานก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อ Dio เจ้าของ Gold Saucer ปรากฏตัวขึ้นและท้าชิง Cloud ไปสู่การต่อสู้แบบ 3D Brawler
ฉากนี้ไม่เพียงแต่จะนำเสนอความบันเทิงให้กับผู้เล่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการแนะนำตัวละครใหม่ ๆ เช่น Cait Sith และ Dio รวมถึงเป็นการโชว์ความสามารถของ Yuffie อีกด้วย ถึงแม้ว่าเพลง “Bare Your Soul” อาจจะไม่ได้โด่งดังเท่าเพลง Stand Up แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานและตื่นเต้นให้กับเกม Final Fantasy VII Rebirth ได้มากกว่าเดิม
6. No Promises To Keep จาก Final Fantasy VII Rebirth (2024)
ตัวละคร | Aerith Gainsborough |
เนื้อเพลง | Kazushige Nojima |
ทำนอง | Nobuo Uematsu |
ผู้ขับร้อง | Loren Allred (ภาษาอังกฤษ) |
เพลง No Promises to Keep ไม่ใช่เพียงแค่เพลงประกอบเกมทั่วไป แต่เป็นเพลงที่มีความหมายลึกซึ้งและเชื่อมโยงกับเรื่องราวของตัวละครอย่าง Aerith เป็นอย่างมาก เพลงนี้ถูกเปิดตัวในฉาก Gold Saucer ซึ่งเป็นฉากที่เต็มไปด้วยความสุขและความสนุกสนาน แต่ทว่ากลับซ่อนความเศร้าหมองและความกังวลเอาไว้เบื้องหลัง
การปรากฏตัวของเพลงนี้ในช่วงเวลาที่ Aerith กำลังเขียนบางอย่างอยู่ ทำให้ผู้เล่นได้เห็นถึงความรู้สึกภายในของเธอที่ต้องการจะเปิดใจและรับโอกาสใหม่ ๆ ในชีวิต แม้จะรู้ถึงชะตากรรมที่รออยู่ข้างหน้าก็ตาม เสียงร้องอันไพเราะของ Loren Allred ที่เปรียบเสมือนการถ่ายทอดความรู้สึกของ Aerith ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นหนึ่งในเพลงที่น่าประทับใจที่สุดในเกม
เนื้อหาของเพลง No Promises to Keep ที่พูดถึงความหวัง ความรัก และการยอมรับชะตาชีวิต ได้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของตัวละคร Aerith และสร้างความรู้สึกผูกพันกับผู้เล่นเป็นอย่างมาก เพลงนี้ยังเป็นการบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่าง Aerith และ Cloud ที่แม้จะไม่ได้ถูกกล่าวถึงอย่างชัดเจน แต่ก็สามารถรับรู้ได้จากอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมาในเพลง
นอกจากนี้ เพลง No Promises to Keep ยังเป็นการปูทางไปสู่เหตุการณ์สำคัญในอนาคตของ Aerith ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่แฟนเกม Final Fantasy VII ทำให้เพลงนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และสร้างความรู้สึกเศร้าปนหวานให้กับผู้เล่นจนหลายคนน้ำตาตกไปตาม ๆ กัน
ผู้อ่านคนใดต้องการติดตามข่าวทั้งหมดของ This Is Game Thailand ก็สามารถมาได้ที่นี่ครับ >>>คลิก<<<