เทคโนโลยีไลฟ์สไตล์

[รีวิว] HyperX Pulsefire Haste Wireless และ HyperX Pulsefire Mat

เมาส์เกมมิ่งไร้สายพกพาไปได้ทุกที่ด้วยน้ำหนักเบาเพียง 61 กรัม

ใครที่ติดตามเมาส์สำหรับเล่นเกมของทาง HyperX มาโดยตลอด น่าจะคุ้นเคยกับตระกูล Pulsefire Haste และในตอนนี้ทางค่ายได้ทำการเปิดตัวเมาส์รุ่นใหม่เอาใจผู้ที่ชื่นชอบความสะดวกในการใช้งานอย่าง HyperX Pulsefire Haste Wireless พร้อมน้ำหนักที่เบาเพียง 61 กรัม รองรับการใช้งานต่อเนื่องสูงสุด 100 ชั่วโมง ว่าแต่จะมีจุดเด่นอะไรที่น่าสนใจอีกบ้างเราไปหาคำตอบกันเลย

Design

การออกแบบของ HyperX Pulsefire Haste Wireless ยังคงเอาไว้แบบเดียวกันกับรุ่นที่มีสาย ลักษณะภายนอกเป็นแบบสมมาตรซึ่งการออกแบบเช่นนี้จะช่วยทำให้เราสามารถใช้งานได้ทั้งมือซ้ายและมือขวา พร้อมจุดเด่นเรื่องของน้ำหนักที่มีเพียง 61 กรัม ด้วยน้ำหนักที่เบาทำให้การใช้งานตลอดทั้งวันไม่รู้สึกถึงความเมื่อยล้าในการใช้งาน 

จุดเด่นของเมาส์รุ่นนี้คงหนีไม่พ้นการออกแบบรังผึ้งแน่นอนว่านี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เมาส์เบา ด้วยการนำพื้นผิวที่ไม่จำเป็นออกไปแต่ยังคงเอาไว้ซึ่งโครงสร้างที่แข็งแรง ขณะเดียวกันยังไม่ต้องคอยเช็ดเมาส์เวลาที่มือเราชุ่มไปด้วยเหงื่อกับพื้นผิวของเมาส์อีกด้วย อย่างไรก็ตามโครงสร้างในลักษณะเปิดพื้นที่ภายในทำให้มีโอกาสที่สิ่งสกปรกเข้าไปได้ แต่ไม่ต้องกลัวว่าแผงวงจรภายในจะได้รับความเสียหายเพราะถูกหุ้มด้วยกล่องไว้อีกชั้น

ในส่วนของปุ่มกดใช้งานเป็นสวิตช์ TTC Golden รองรับการกดมากถึง 80 ล้านครั้ง พร้อมกับเสียงในการกดที่แน่นและคมในทุก ๆ การกด Scroll Wheel มีลักษณะมาตรฐานไม่ได้เป็นแบบหมุนแล้วฟรี และบริเวณนี้ยังมาพร้อมกับไฟ RGB อีกด้วย ซึ่งเป็นจุดเดียวที่มีให้เราได้เห็นกัน

ภายในกล่องยังมาพร้อมกับสติกเกอร์เทปแบบด้านที่ช่วยให้การจับกระชับและเข้ามือยิ่งขึ้นเวลาที่ต้องใช้สำหรับเล่นเกม แต่ให้ว่ากันตามจริงพื้นผิวแบบใหม่ของรุ่นไร้สายมีผิวที่ค่อนข้างด้านในตัวอยู่แล้ว และสิ่งนี้อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้งานก็เป็นได้

สำหรับความไวเมาส์สูงสุดที่ทำได้อยู่ที่ 16,000 DPI พร้อมกับการรองรับการตั้งค่าได้อย่างอิสระผ่านซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY โดยการปรับค่า DPI สามารถปรับได้ง่าย ๆ ผ่านปุ่มตรงกลางของเมาส์ เมื่อเรากดปุ่มจะแสดงไฟสถานะว่าใช้งานอยู่ที่ระดับใดในตอนที่กด แต่หลังจากนั้นจะแสดงไฟ RGB ตามปกติ

ด้านล่างของตัวเมาส์เป็นปุ่มสำหรับเปิดปิดการใช้งานโหมดไร้สาย แน่นอนว่าตัวเมาส์สามารถที่จะใช้ในรูปแบบของมีสายได้ ซึ่งการตอบสนองถือว่าไม่ได้มีความแตกต่างแต่อย่างใด

HyperX Pulsefire Haste Wireless ภายในกล่องนอกจากเมาส์ยังมาพร้อมกับตัวรับสัญญาณสำหรับเอาไว้เสียบกับอุปกรณ์ที่ต้องการ สาย USB-C to USB-A และแท่นสำหรับการเพิ่มระยะของการใช้งานในกรณีที่พื้นที่ไม่อำนวย

นอกเหนือจากเมาส์แล้วเราลองมาดูในส่วนของแผ่นรองเมาส์ที่สามารถใช้งานคู่กันได้อย่างลงตัวบ้าง HyperX Pulsefire Mat ด้วยความที่ตัวเมาส์มีน้ำหนักที่เบาการมีแผ่นรองเมาส์ดี ๆ จะช่วยในการใช้งานได้อย่างมาก ด้านบนเป็นพื้นผิวแบบราบเรียบที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานเล่นสำหรับเกม FPS หรือ RTS ที่ต้องการสะบัดแบบรวดเร็ว

ด้านล่างเป็นยางพร้อมผิวสัมผัสที่ยึดติดกับพื้นผิวทำให้เวลาใช้งานไม่มีอาการแผ่นรองเมาส์ขยับ นอกจากนี้ยังถูกคลุมไว้ด้วยตาข่ายที่ทำให้ผิวสัมผัสด้านล่างไม่ได้รับความเสียหายได้ง่าย และด้วยขนาดที่ใหญ่พิเศษ 2XL ทำให้การใช้งานงานลากเมาส์ทำได้อย่างอิสระ แต่สำหรับใครที่มีพื้นที่บนโต๊ะไม่ใหญ่มากก็สามารถที่จะเลือกเป็นขนาดอื่นได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น M, L, XL และ 2XL 

การจับคู่กันของ HyperX Pulsefire Haste Wireless และ HyperX Pulsefire Mat เป็นอะไรที่ลงตัวอย่างมาก แม้ว่าของทั้งสองสิ่งจะสามารถอยู่แยกกันได้ก็ตาม แต่หากมีโอกาสเราแนะนำให้หาทั้งสองอย่างมาใช้งานพร้อมกันจะดีที่สุด

Experience

ประสบการณ์ในการใช้งานของ HyperX Pulsefire Haste Wireless ถือว่าเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใครที่ไม่เคยได้ใช้งานเมาส์ในลักษณะที่ภายนอกเป็นแบบรังผึ้ง สัมผัสแรกอาจจะรู้สึกขัด ๆ เล็กน้อย แต่เมื่อได้จับใช้งานไปเรื่อย ๆ จะรู้สึกชอบมัน น้ำหนักของตัวเมาส์ที่เบา 61 กรัม ช่วยให้การใช้งานไม่รู้สึกถึงความเมื่อยในการใช้เป็นเวลานาน

ปุ่มกดอาจจะรู้สึกว่าน้อยไปเสียหน่อย แต่หากให้พูดตามความเป็นจริงจำนวนปุ่ม 6 ปุ่ม ถือว่าเป็นมาตรฐานของเมาส์สำหรับการเล่นเกมที่เราใช้งานกัน และด้วยการใช้งานสวิตช์ TTC Golden ทำให้การกดแต่ละครั้งมีการตอบสนองที่ดี ค่า Polling Rate 1000Hz ไม่มีอาการหน่วงเวลาที่กดหรือเลื่อนเมาส์แต่ละครั้ง เซ็นเซอร์ Pixart PAW3335 ถือว่าทำงานได้สมราคา

สำหรับซอฟต์แวร์ที่ใช้งาน HyperX NGENUITY ภายในมีความครอบคลุมการใช้งานที่ครบครัน อย่างการเสียบเพื่อใช้งานครั้งแรกจะมีการแจ้งเตือนให้เราทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของเมาส์ทันที เมื่อเข้ามาภายในเราสามารถดูสถานะของเมาส์ได้ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ การปรับแต่ง RGB และที่ขาดไปไม่ได้คือการกำหนดค่า DPI ทำได้ทั้งหมด 5 ระดับ

สิ่งที่น่าเสียดายสำหรับเมาส์รุ่นนี้อาจเป็นเรื่องของโปรไฟล์ภายในตัว ที่รองรับการใช้งานเพียงแค่ 1 โปรไฟล์เท่านั้น หากใครที่เป็นคนที่ชื่นชอบในการสลับไปมาในการใช้งานที่แตกต่างกันอาจจะไม่ถูกใจนัก ส่วนพื้นที่สำหรับการแสดงไฟ RGB มีเพียงตำแหน่งเดียว น้อยแต่เลือกจุดที่แสดงผลออกมาได้เหมาะสม

การเชื่อมต่อเราสามารถที่จะใช้งานได้ทั้งแบบมีสายและไร้สาย การใช้งานแบบมีสายไม่มีอะไรซับซ้อนเพียงแค่เสียบสายที่ให้มาภายในกล่องเข้ากับอุปกรณ์ที่ต้องการเป็นอันเรียบร้อย ขณะเดียวกันการใช้งานลักษณะนี้ยังชาร์จแบตเตอรี่ไปในตัว อีกหนึ่งเรื่องที่น่าเสียดายเป็นเรื่องของการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์สำหรับการใช้งานร่วมกัน เนื่องจากเราจำเป็นที่จะต้องดาวน์โหลดแยกแทนที่จะเสียบสายครั้งแรกแล้วเด้งหน้าต่างให้ติดตั้งขึ้นมาแทน

ส่วนการใช้งานแบบไร้สายเราสามารถที่จะเสียบตัวรับสัญญาณเข้ากับอุปกรณ์ที่ต้องการได้ไม่ว่าจะเป็นพีซี คอนโซลหรืออื่น ๆ จากนั้นเปิดใช้งานที่ปุ่มด้านล่างของเมาส์เป็นอันพร้อมใช้งาน การทดสอบทั้งสองแบบไม่มีความแตกต่างกันตอนใช้งานไม่ว่าจะทั่วไปหรือการเล่นเกม

ตัวแปลงที่ให้มาสามารถที่จะใช้งานได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อเสียบตัวรับสัญญาณในกรณีที่เครื่องของเรามีเพียงแค่พอร์ต USB-C หรือจะใช้งานเป็นการเพิ่มระยะของการชาร์จได้เช่นกัน

แบตเตอรี่ที่เคลมเอาไว้ว่าสามารถใช้งานได้สูงสุด 100 ชั่วโมงอาจจะดูสูงเกินไป แต่ตัวเลขที่ทำได้ค่อนข้างที่จะใกล้เคียง แน่นอนว่าตัวเลขดังกล่าวเราจะต้องใช้งานโดยที่ปิดไฟ RGB แต่หากเปิดและใช้งานวันละ 8 – 10 ชั่วโมง พบว่าสามารถที่จะใช้งานได้ตลอดทั้งสัปดาห์โดยที่ไม่ต้องชาร์จ และเมื่อต้องชาร์จสามารถที่จะทำได้ค่อนข้างเร็วจาก 0 – 100 ได้ในเวลา 1 ชั่วโมง

หนึ่งสิ่งที่ดีคือการปิดไฟ RGB ให้เองเมื่อเมาส์ไม่ได้ถูกใช้งานเมื่อเวลาผ่านไป 1 นาที ช่วยได้มากในการเพิ่มระยะเวลาในการใช้งานของแบตเตอรี่และลดการรบกวนสายตาจากผู้ที่อยู่ใกล้เคียง ในกรณีที่นำไปใช้ที่ทำงานหรือพื้นที่สาธารณะ

HyperX Pulsefire Mat เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เกมเมอร์ควรพิจารณาเพื่อซื้อมาใช้งาน แน่นอนว่าคนทั่วไปอาจจะมองว่าไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป แต่สำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะการแข่งขัน มันช่วยได้อย่างมากเวลาที่ต้องการความนิ่งในการเล่น การมีแผ่นรองเมาส์เปรียบเป็นค่าสถานะในเกมอาจจะตีเป็นการเพิ่มค่า DEX ให้กับเรา 5 – 10 เปอร์เซ็นต์ อาจดูเหมือนน้อยแต่ในจังหวะการเล่นที่รวดเร็วในเกม ความต่างเพียงเล็กน้อยก็ตัดสินผลได้แล้ว

สรุป

บทสรุปของ HyperX Pulsefire Haste Wireless และ HyperX Pulsefire Mat อยู่แยกกันได้แต่รวมกันจะดีไม่น้อย ตัวเมาส์มาพร้อมกับจุดเด่นในแง่ของน้ำหนักที่เบา 61 กรัมและอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานสูงสุด 100 ชั่วโมงต่อการชาร์จ การออกแบบทรงรังผึ้งที่เปิดประสบการณ์การใช้งานใหม่สำหรับผู้ที่ไม่เคยลอง พร้อมประสิทธิภาพภายในที่พร้อมสำหรับลงสู่สังเวียน ด้วยราคา 2,690 บาทสำหรับเมาส์และ 1,490 บาทสำหรับแผ่นรองเมาส์ถือว่ากำลังดี

ข้อดี

– การออกแบบที่ทำให้สามารถใช้งานได้ทั้งมือซ้ายและมือขวา

– ลักษณะภายนอกแบบรังผึ้งที่ช่วยให้เมาส์ไม่รู้สึกชุ่มไปด้วยเหงื่อเมื่อใช้ต่อเนื่อง

– น้ำหนักเบาเพียง 61 กรัม

– ปุ่มกดใช้สวิตช์ TTC Golden ที่กดกี่ครั้งก็สนุกได้ทุกครั้ง

– ใช้งานได้หลากหลายกับอุปกรณ์

– ซฮฟต์แวร์สามารถปรับแต่งได้ครบถ้วน

ข้อสังเกต

– รองรับเพียงแค่ 1 โปรไฟล์

– อาจไม่ถูกใจสาย RGB เนื่องจากมีไฟเพียงแค่ตำแหน่งเดียว

– ปุ่มกดมีเพียงแค่ 6 ปุ่ม

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทาง HyperX แห่งประเทศไทยที่ได้ทำการส่ง HyperX Pulsefire Haste Wireless และ HyperX Pulsefire Mat มาให้เราได้ทำการทดสอบใครที่สนใจสามารถหาซื้อได้แล้ววันนี้ตามช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ และร้านค้าไอทีชั้นนำทั่วไป

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อสินค้าได้ที่ :

เมาส์เกมมิ่ง – HyperX Pulsefire Haste Wireless

แผ่นรองเมาส์ – HyperX Pulsefire Mat

Now Loading

ชอบเพลง Metal | บันเทิงกับการถ่ายรูป | ของโปรดคือเนื้อย่าง | เล่นเกมบ้างบางเวลา
Back to top button