[รีวิว First Impression] Xenoblade Chronicles X: Definitive Edition สู่โลกใหม่ เสรี และอนาคต

และแล้วก็มาถึงวันที่แฟนเกม RPG ทุกคนรอคอยหลังจากที่หลายคนอาจพลาดโอกาสในการสัมผัสความสนุกของ Xenoblade Chronicles X จากเครื่องเล่น Wii U และ Monolith Soft เองก็ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะได้เข็นเกมนี้ออกมาบน​ Switch พร้อมให้ทุกคนสามารถเล่นเกมได้ครบทุกภาคเสียที ซึ่งวันนี้เองพวกเรา ThisIsGame Thailand ก็ไม่พลาดที่จะขอเล่นเกมนี้เพื่อนำความประทับใจมาแบ่งปันกันในรีวิว First Impression เพื่อช่วยเพื่อนๆ ประกอบการตัดสินใจกันคร่าวๆ ด้วย ว่าแล้วก็มาติดตามกันได้ข้างล่างนี้เลยครับ

เรื่องราวชวนติดตาม 10 ปีต่อมาก็ยังสนุก จัดเต็มทุกความทรงจำ

แน่นอนว่าในฐานะเกมรีมาสเตอร์แล้ว เกมยังคงมีโครงเรื่องหลักแบบเดิมที่เราคุ้นเคยกันจากภาค Wii U นั่นคือเราจะได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ทำการอพยพจากโลกมนุษย์ที่ล่มสลายจากภัยสงครามของเหล่ามนุษย์โลกและเอเลี่ยน ทว่ากลับเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ยานของตัวเอกที่ทำการหนีออกมาดันตกลงมาที่ดาวแห่งหนึ่งชื่อว่า Mira และตัวเราเองก็ความจำเสื่อมอีกต่างหาก อย่างไรก็ตามยังโชคดีที่มีผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเราพามายังแหล่งพักพิงของมนุษย์ที่เป็นชุมชนที่เหลือรอดพอดิบพอดี

ความพิเศษของเกมภาคนี้คือ Xenoblade Chronicles X ไม่ได้เป็นการบอกเล่าเรื่องราวเกมสวมบทบาทที่มีตัวละครเอกหลักแบบเกมภาคตามลำดับตัวเลข ทว่าเราจะได้สร้างอวาตาร์ขึ้นมาเองอย่างอิสระเลยครับ ดังนั้นความรู้สึกในการดำดิ่งสู่โลกมหัศจรรย์แนวไซไฟนี้จึงมีความแตกต่างจากประสบการณ์เกมภาคก่อนหน้ากันแบบสิ้นเชิง อีกทั้งโทนเนื้อเรื่องเองก็มีความฮาร์ดคอร์มากขึ้น และจุดนี้ถ่ายทอดได้ตรงกับภาพลักษณ์ของเกมที่นำเสนอ ซึ่งจะบอกเล่าในหมวดกราฟิกต่อไป

อย่างไรก็ตามแม้ความเป็น Xenoblade ที่ปกติเราจะเห็นความแฟนตาซีโทนตะวันออกอยู่บ้างจะหายไป ทว่าเกมเพลย์โดยรวมในการต่อสู้แบบแอ็กชันเรียลไทม์ที่จะเริ่มต้นอัตโนมัติเมื่อเราวิ่งไปใกล้ๆ ศัตรู การมี AI ทีมเมตที่พูดมากตลอดเวลา (ฮา) ปรับแต่ง Arts ก็จะคล้ายกับภาคตามตัวเลขอยู่เหมือนกัน (ก็มันคือการต่อยอดจากภาคแรก) แต่เราจะเห็นอาวุธอื่นๆ อย่างปืนหรือจรวดมิสไซล์มากขึ้น แต่ความมันส์อยู่ที่ Skell หรือหุ่นรบที่เราสามารถขับขี่ได้ที่จะทำให้เกมนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกเวลาได้ขี่หุ่นยนต์ไปมาในฉากขนาดใหญ่ กราดยิงศัตรูมันทำออกมาได้ดีมากจริงๆ ครับ

โลกกว้างขนาดใหญ่รอคอยการบุกเบิก

แผนที่ของเกมนี้มาพร้อมกับขนาดที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วจากภาค Wii U นั่นคือทะลุ 150 ตารางกิโลเมตร ถือว่าใหญ่กว่า The Legend of Zelda: Breath of the Wild อยู่เหมือนกันครับ (แม้จะเป็นผืนน้ำส่วนหนึ่ง) ซึ่งนั่นก็ทำให้เรามีความจำเป็นที่จะต้องใช้หุ่นยนต์บินในบางครั้ง และแผนที่ที่ใหญ่มากๆ นี้เอง ก็ยังเต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย ซึ่งอาจจะไม่ได้ให้ความรู้สึกคล้าย Zelda ที่มีอะไรทำตลอดเวลา แต่มันก็จะมีบทบาทเพราะเป็นเส้นทางการเดินทางของเราที่จะต้องออกมาซ้ำๆ เพื่อทำเควสต์

ไบโอมของเกมคือเสน่ห์สำคัญครับ เพราะมันมีความหลากหลายมากตั้งแต่พื้นที่ New Los Angeles ปราการสุดท้ายของมนุษยชาติใน Mira ที่มีขนาดย่อมๆ ก่อนที่เราจะพ้นกำแพงเมืองไปสู่โลกภายนอกที่มีทั้งทะเลทราย ทุ่งหญ้าสีเขียว ทุ่งหิมะ หรือจุดภูเขาไฟที่อันตราย ทุกอย่างแบ่งออกเป็นโซนๆ และมีศัตรูที่อยู่ในพื้นที่นั้นๆ ที่ออกแบบมาได้เข้ากับสภาพแวดล้อม (เราสู้กับเอเลี่ยนนะ อย่าลืม!)

อ้อ! ที่ขาดไม่ได้ก็คือ แผนที่ขนาดใหญ่นี้ยังเป็นที่ที่เรากับเพื่อนๆ ในรูปแบบออนไลน์ได้วิ่งเล่นกันด้วย อย่างไรก็ตามด้วยลักษณะของเกมเพลย์แล้ว ผู้เล่นจะไม่ได้สำรวจกันแบบอิสระในโอเพนเวิลด์ ทว่าก็จะเป็นการตั้งห้องหาตี้ทำภารกิจร่วมกันแบบ 4 คน หรือถ้าใครอยากจะทำภารกิจเซิร์ฟรวมแบบ 32 คนก็ตั้งค่าเปิดได้เหมือนกัน โดยในแบบหลังจะเป็นการช่วยเหลือกันเคลียร์ภารกิจแบบแยกห้อง ไม่ได้เจอหน้ากันครับ ขออภัยที่ไม่ได้ทดสอบส่วนนี้

ความเปลี่ยนแปลงที่คุ้มค่า

Xenoblade Chronicles X ในรูปแบบ Definitive Edition เติมเต็มจุดที่เราอาจจะเคยหงุดหงิดได้อย่างยอดเยี่ยมเลยครับ เริ่มจาก UI ที่จากเดิมถือว่าเล็กมากๆ ในเวอร์ชัน Wii U ตอนนี้เองก็ปรับให้มีความใช้งานง่ายและไม่น่าหงุดหงิดแล้ว อีกทั้งยังปรับการเล่นเกมที่เคยอาศัย GamePad (ปกติไม่จำเป็นต้องใช้) ให้กลายเป็นประสบการณ์คอนโซลเต็มตัวได้ด้วย แถมเซฟยังมีตั้งสามช่อง! ดังนั้นในเรื่อง QoL ยกนิ้วให้ว่าทำได้โอเคครับ

ในส่วนคอนเทนต์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา จะเป็นแชปเตอร์ใหม่เต็มๆ และยังมีรายละเอียดเนื้อเรื่องอย่างอื่นที่พูดไปก็คงสปอยล์ ทั้งนี้เราจะเห็นความ Definitive ได้ชัดเจนมากๆ เพราะมีส่วนที่ถูกปรับให้มันมีความสมบูรณ์มากขึ้น เช่นตัวละครที่เราสามารถนำมาร่วมตี้ได้แล้ว บาลานซ์เกมที่ปรับให้ดีขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือกราฟิกที่เป็นเหมือนหน้าเหมือนตาของเกม!

กราฟิกและเพลงประกอบของ Xenoblade Chronicles X: Definitive Edition

กราฟิกของเกมได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้นมากในส่วนของโมเดล หากยังจำกันได้ในภาค Wii U ตัวละคร NPC จำนวนมากนั้นมีข้อจำกัดเรื่องเทคโนโลยีกราฟิก ดังนั้นใบหน้าแม้จะดูน่ารัก แต่รายละเอียดหลายจุดอาจไม่ถูกใจ เช่นลูกตาที่แทบจะกินไปทั้งดวงตาแล้ว (แป่ว) รอบนี้เหมือนมีการปรับปรุงให้ดูคล้ายกับ Xenoblade Chronicles 2 – 3 ที่มีความเป็นอนิเมะ อย่างไรก็ตามจุดที่ฉีกแนวและตอกย้ำความฮาร์ดคอร์คือการเรนเดอร์โมเดลให้อิงกับความสมจริงนั่นเองครับ โทนของภาพมันส่งผลจริงๆ นะ ส่วนเรื่องเพลงนั้น ใครที่ยังชอบเพลงประกอบฉากแบทเทิลยังมีครบไม่ว่าจะเป็น Black Tar หรือเพลง Uncontrollable ที่อยู่ในความทรงจำ ว่าแล้วอยากฟังอีก

บทสรุป

Xenoblade Chronicles X: Definitive Edition ถือเป็นภาคที่สมบูรณ์แบบที่สุด และเป็นเกม Xenoblade Chronicles ที่แม้จะไม่ได้เป็นผู้ที่ติดตามภาคหลักตามลำดับเลขก็สามารถสนุกได้ด้วยประสบการณ์ที่ฉีกแนวไปจากเดิม อีกทั้งยังมีความเป็นเพชรเม็ดงามจากยุค Wii U ที่อยู่ครบถ้วน เพิ่มพูนด้วยความสนุกกับองค์ประกอบเนื้อเรื่องใหม่ๆ ที่ทำให้เต็มอิ่มกว่าเดิมในราคาสุดคุ้มที่ $59.99 เหมือนเดิมเป๊ะๆ ใครที่ไม่มีโอกาสเล่นภาคต้นฉบับ ถึงเวลาแล้วครับ!

สำหรับใครที่สนใจ Xenoblade Chronicles X: Definitive Edition ก็สามารถหาเล่นได้แล้ววันนี้บน Nintendo Switch โดยรองรับการแลกตั๋ว Game Voucher เพื่อรับเกมในราคาที่ถูกลงด้วย และมั่นใจได้เลยครับว่าภาคนี้จะมีชุมชนผู้เล่นที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเพื่อการบุกเบิกดาวดวงใหม่ และทวงคืนเสรีภาพจากเอเลี่ยนครองโลกไปด้วยกัน ด้วยระบบออนไลน์ที่เป็นไฮไลต์เด็ด สำหรับโอกาสหน้า ThisIsGame Thailand จะมีอะไรมาแบ่งปันอีกอย่าลืมติดตามที่นี่เช่นเคย