[รีวิว] Sword of Justice : ดาบแห่งยุติธรรมพิชิตชะตา

เกม MMORPG แนวจอมยุทธ์ยุคใหม่ เล่นได้ทั้ง PC และมือถือ เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้!

0 ภายใน 1 นาที

สวัสดีครับเพื่อน ๆ ชาวเกมเมอร์ทุกท่าน ในยุคที่เกมแนวแฟนตาซีมีออกมานับไม่ถ้วน Sword of Justice กลับเลือกจะยืนหยัดด้วยเสน่ห์ของ “ความยุติธรรมกับคมดาบแห่งจอมยุทธ์” ที่ขับเคลื่อนทุกสิ่งในโลกอันเต็มไปด้วยการต่อสู้และตำนาน ตัวเกมหยิบสูตรสำเร็จของแนว MMORPG มาขัดเกลาใหม่ให้รู้สึกสดและเร้าใจ ตั้งแต่ฉากเปิดสุดอลังการจนถึงระบบต่อสู้ที่เน้นจังหวะและการอ่านเกม ผู้เล่นจะได้สวมบทเป็นจอมยุทธ์น้อยที่ออกท่องยุทธภพ ออกต่อสู้กับเหล่าคนชั่วที่หมายจะใช้อำนาจและกำลังควบคุมทุกสิ่ง เกมนี้จึงไม่ใช่แค่การหวดดาบ แต่คือการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์และความศรัทธาในสิ่งที่เรียกว่า “ความถูกต้อง” อีกด้วยครับ เราไปชมรายละเอียดของเกมนี้กัน

[รีวิว] Sword of Justice: ดาบแห่งยุติธรรมพิชิตชะตา

เนื้อเรื่องของเกม Sword of Justice

ในโลกที่เต็มไปด้วยตำนานความเชื่อและพลังเหนือธรรมชาติ ผู้เล่นจะได้สวมบทบาทเป็น “ผู้ถือดาบ” ผู้ถูกกำหนดชะตาให้เดินบนเส้นทางที่ไม่ธรรมดา ท่ามกลางสมดุลของอำนาจความขัดแย้งระหว่างฝ่ายธรรมะและอธรรม และเบื้องหลังของโลกที่ดูงดงามแต่มืดมนกว่าที่เห็น เกมไม่ได้บังคับให้คุณเป็นฮีโร่ แต่จะเปิดทางให้คุณเลือกว่าจะเดินทางในฐานะผู้พิทักษ์ความยุติธรรม หรือลงมือทำในสิ่งที่จำเป็นโดยไม่แคร์คำตัดสินของโลกใบนี้ ทุกการตัดสินใจของคุณอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่าง เรื่องราวจึงไม่ได้มีเพียงเส้นตรงเดียว แต่เป็นบทผจญภัยที่เปลี่ยนแปลงได้ตามตัวเลือกของผู้เล่น คุณต้องค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง ท่ามกลางความสับสนในยุทธภพแห่งนี้

งานภาพและสไตล์ศิลป์

แม้ Sword of Justice จะไม่ใช่เกมที่ผลักขีดจำกัดด้านกราฟิกถึงขั้นระดับ AAA แต่สิ่งที่ทีมพัฒนาทำได้ดีมากคือ “บรรยากาศและอารมณ์ของโลกเกม” ที่ถ่ายทอดผ่านงานศิลป์ได้อย่างลงตัว ฉากเมือง ธรรมชาติ และวิธีชีวิตของชาวบ้านภายในเมืองถูกออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ใช้โทนแสงเงาและสีที่เน้นความเป็นจอมยุทธ์ธีมจีนโบราณได้อย่างชัดเจน เอฟเฟกต์ของสกิลและเวทมนตร์สวยสะดุดตาและน่าตื่นเต้น ส่วนดีไซน์ตัวละครก็จัดว่าทำออกมาได้ถูกจริตคนเอเชียอย่างมาก ทั้งสวย หล่อ เท่ มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์อย่างแน่นอน ทั้งหมดนี้ทำให้เกมดู “แพง” และมีเอกลักษณ์ แม้ไม่ต้องใช้กราฟิกระดับท็อปก็ตามครับ

งานพากย์และดนตรีประกอบ

เสียงคือสิ่งที่ Sword of Justice ใช้สร้างอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม เพลงประกอบถูกแต่งให้เข้ากับสถานการณ์แทบทุกฉาก ตั้งแต่ท่วงทำนองธีมจอมยุทธ์จีนอันยิ่งใหญ่ในฉากต่อสู้ หรือแม้แต่เสียงเครื่องสายที่ดีดอย่างช้า ๆ เสริมบรรยากาศที่เงียบสงบได้ดีมาก ดนตรีเหล่านี้ช่วยขับให้การเดินทางของผู้เล่นมีน้ำหนักทางอารมณ์มากขึ้น ขณะเดียวกันงานพากย์ก็ถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครได้ชัดเจน ทั้งเสียงโกรธ เสียงตอนหยอกล้อ หรือเสียงพูดที่แสดงความรู้สึกต่อใครสักคน ทุกอย่างถูกออกแบบให้สอดรับกันอย่างลงตัว จนกลายเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ทำให้ Sword of Justice มีชีวิตชีวา มีอารมณ์ และตรึงใจผู้เล่นได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

เกมเพลย์หลักในโลก Open World

เราจะได้ควบคุมตัวละครที่เราสร้างในยุทธภพสุดกว้างใหญ่ พูดคุยกับ NPC รับเควสต์ เดินทาง สำรวจ และอื่น ๆ อีกมากมาย บางคอนเทนต์สามารถพบเจอได้จากการพูดคุยกับ NPC หรือการเดินไปยังจุดที่กำหนด แต่บางคอนเทนต์ก็แอบซุกซ่อนไปพร้อมกับปริศนาเช่นเดียวกัน ทำให้โลกยุทธภพอันกว้างใหญ่นี้เต็มไปด้วยคอนเทนต์ที่รอให้คุณเดินมาสำรวจ ความละเอียดในการเล่น อาจทำให้ผู้เล่นแต่ละคนได้รับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกัน แต่ถึงโลกจะกว้างใหญ่ยังไงการเดินทางก็ไม่ได้ลำบาก เพราะตัวเกมมีระบบวิชาตัวเบาที่จะทำให้คุณเหาะเหินเดินอากาศ ลอยข้ามสิ่งกีดขวางได้อย่างง่ายได้ เป็นระบบที่เหมาะแก่การสำรวจและสามารถทำได้ตั้งแต่ช่วงแรกของเกมเลยครับ และมันเหมาะกับธีมจอมยุทธ์มาก ๆ

ระบบต่อสู้ใน Sword of Justice

การต่อสู้ของเกมนี้นั้น เราสามารถเปลี่ยนโหมดจากโหมดสำรวจธรรมดาเป็นโหมดต่อสู้ได้ทุกเวลาเพียงแค่ 1 ปุ่ม หลังจากที่เปลี่ยนโหมดแล้ว จะมีหน้า UI สกิลต่าง ๆ ออกมาให้เลือกกดเต็มไปหมด ซึ่งการมีสกิลที่เยอะทำให้การต่อสู้ในเกมนี้เต็มไปด้วยความสนุกสุดมันส์ เพราะสามารถปล่อยท่าได้เยอะ ผู้เล่นสามารถหลบการโจมตีของบอสและสวนกลับ ผสมผสานความเสียหายธาตุ คิดกระบวนท่าของตัวเองและทำดาเมจให้ได้สูงที่สุด เช่น ถ้าสกิลของคุณเป็นธาตุไฟ ก็สามารถทำดาเมจได้สูงขึ้นถ้าหากว่าเราปล่อยสกิลธาตุน้ำใส่ศัตรูก่อน เป็นต้น แถมยังมีสกิลอีกมากมายรอคุณอยู่ครับ

เลือกเล่นได้ 6 สายอาชีพ

ใน Sword of Justice ผู้เล่นสามารถเลือกเส้นทางของตนเองผ่าน 6 สายอาชีพหลัก ที่มีเอกลักษณ์ทั้งด้านรูปลักษณ์และรูปแบบการต่อสู้ แต่ละอาชีพไม่ได้มีแค่ค่าสเตตัสที่ต่างกัน แต่ยังสะท้อนแนวทางการเล่นและบุคลิกของผู้เล่นได้อย่างชัดเจน อาชีพทั้ง 6 ได้แก่

Nightwaker – มือสังหารในเงามืดที่รวดเร็วและแม่นยำ เน้นจู่โจมแบบระยะประชิดพร้อมหลบหลีกว่องไว เหมาะกับผู้เล่นที่ชอบเล่นเชิงจิตวิทยา ลอบสังหารแล้วหายตัวอย่างเงียบงัน
Ironclad – วีรชนชุดเกราะหนัก แนวหน้าสุดแกร่งของทีม มีทั้งพลังป้องกันและท่าไม้ตายหนักหน่วง เหมาะกับสายแท็งก์หรือผู้ที่ชอบอยู่กลางสมรภูมิ รับแรงกระแทกแทนเพื่อนร่วมทีม
Bloodstorm – นักสู้คลั่งที่แปรความเจ็บปวดเป็นพลัง ทำดาเมจได้มหาศาลแบบสายบ้าระห่ำ เกมเพลย์เน้นความเร็วและความรุนแรง เหมาะกับคนที่ชอบเปิดฉากรัวไม่ยั้งแบบไม่มีถอย
Celestune – นักพรตผู้ควบคุมพลังจากสวรรค์ ใช้เวทสนับสนุนและเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ช่วยฟื้นฟูทีม มีความสง่างามและสงบ เหมาะกับสายซัพพอร์ตที่ชอบคุมจังหวะการรบอย่างชาญฉลาด
Sylph – ผู้ใช้เวทแห่งธรรมชาติ เคลื่อนไหวพลิ้วไหวราวสายลม มาพร้อมเวทโจมตีระยะไกลและสกิลควบคุมศัตรู เหมาะกับคนที่ชอบระยะปลอดภัยและเน้นเทคนิคการวางกับดัก
Numina – นักเวทที่มีพลังคล้ายกับ Summoners ต่อสู้ร่วมกับภูติอัญเชิญได้อย่างสง่างาม มีท่าที่โจมตีรวดเร็วและรุนแรงอลังการจากระยะไกล เหมาะกับคนที่ชอบต่อสู้ร่วมกันกับภูติอัญเชิญเพื่อให้การผจญภัยไม่เหงา

UX/UI เข้าใจง่าย แถมเป็นภาษาไทย

สิ่งที่ทำให้ Sword of Justice เข้าถึงผู้เล่นได้ง่ายตั้งแต่นาทีแรก คือการออกแบบ UX/UI ที่ชัดเจนและเป็นมิตรสุด ๆ เมนูทุกอย่างถูกจัดวางเป็นระเบียบ แบ่งหมวดหมู่ชัด ทำให้ทั้งมือใหม่และสายฮาร์ดคอร์สามารถเข้าใจระบบได้โดยไม่ต้องเปิดคู่มือซ้ำไปมา แถมยังสามารถเลือกได้ด้วยว่าจะใช้หน้า Interface แบบคลาสสิคที่เน้นเยอะแต่ครบถ้วนหรือแบบเข้าใจง่ายที่เน้นมินิมอลและเล่นแบบไหลลื่นครับ ที่สำคัญคือเกมรองรับ “ภาษาไทย” แบบเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเมนู บทสนทนา หรือคำอธิบายไอเทม แปลได้ลื่นไหล อ่านเข้าใจง่าย และไม่รู้สึกขัดเขิน ทำให้ประสบการณ์โดยรวมราบรื่นและดึงดูดขึ้นมาก ยิ่งสำหรับคนที่อยากดื่มด่ำกับเนื้อเรื่องโดยไม่สะดุดด้านภาษา เกมนี้ถือว่าตอบโจทย์เลยครับ

เรียนรู้สกิลจากหลายแห่งในยุทธภพ

อีกสิ่งหนึ่งในเกม Sword of Justice ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเราได้ผจญภัยในโลกใบใหญ่จริง ๆ ก็คือการมีโอกาสได้เรียนรู้สกิลใหม่ ๆ จากการผจญภัยครับ ในเกมนี้จะมีสกิลอยู่มากมาย แต่ก็แบ่งเป็นสายว่าสกิลนี้ได้มาจากไหน เช่น การเลือกอาชีพตอนเริ่มเกมก็เป็นสายหนึ่งที่เราสามารถพัฒนาได้เรื่อย ๆ แต่บางสกิลก็ต้องเรียนกับ NPC หรือเควสต์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น ท่าจับเสือฆ่ามังกรเป็นสกิลพิเศษของสำนักขอทาน หรือ ข้ามประตูมังกรเป็นสกิลของโรงเตี๊ยมหลงเหมิน เป็นต้น หมายความว่าการสำรวจแบบกว้างขวางอาจทำให้คุณได้รับสกิลใหม่ ๆ ไปใช้ด้วยนั่นเองครับ

ความประทับใจแรกจากมุมมองผู้เขียน

โดยส่วนตัวมองว่า เกม Sword of Justice เป็นเกมที่มีเสน่ห์น่าดึงดูดมากกว่าเกมแนวจอมยุทธ์ที่ผ่านมา ที่ผมชอบที่สุดคือการเล่นเนื้อเรื่องนั้น ทางเลือกที่โผล่มาให้เราเลือกตอบมันไม่ได้ให้เราเป็นคนดีเสมอไป มันไม่ใช่การเป็นจอมยุทธ์แล้วต้องทำดีเสมอ ในเมื่อ “คุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ” เราสามารถเลือกช่วยคนที่เราอยากช่วยได้ และเลือกกลั่นแกล้งคนที่นิสัยไม่ดีก็ได้เช่นกัน ซึ่งผมมองว่าเป็นมุมมองที่ค่อนข้างทันสมัยสำหรับเกมจอมยุทธ์ครับ ส่วนเรื่องระบบเกมเพลย์ก็เล่นได้อย่างไหลลื่น ตอนสู้ก็สนุกดี แต่ที่ชอบที่สุดก็คงจะเป็นระบบวิชาตัวเบาที่ทำให้เราบินได้ตั้งแต่เลเวลแรก ๆ ทำให้การสำรวจโลกไม่เสียเวลามากเกินไป อยากบินไปไหนก็ได้ที่อยากไปครับ อันนี้คือของดีเลย

โดยรวมแล้ว Sword of Justice เป็นเกมที่อาจไม่หวือหวาด้านเทคโนโลยีเมื่อเทียบกับเกม AAA ฟอร์มยักษ์อื่น ๆ แต่กลับโดดเด่นด้วยจิตวิญญาณของเกมจอมยุทธ์ที่ “ตั้งใจทำ” ทั้งเนื้อเรื่อง งานภาพ ดนตรี ไปจนถึงระบบที่เป็นมิตรกับผู้เล่น ผู้เล่นเลือกได้ว่าจะเป็นคนแบบไหนในโลกใบนี้ ไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องเป็นคนดีอย่างเดียวเท่านั้น สำหรับใครที่ชอบเกมจอมยุทธ์ที่มีหัวใจ มีเนื้อหา และมีสไตล์ Sword of Justice คือหนึ่งในเกมที่ไม่ควรพลาดเลยครับ