[รีวิว] Assassin’s Creed Mirage – หวนคืนสู่รากเหง้าแห่งมือสังหาร
เปิดกว้างให้ผู้เล่นเข้าถึงได้ง่ายด้วยการผสมผสานเกมเพลย์ดั้งเดิมและความโมเดิร์นได้อย่างลงตัว
Assassin’s Creed Mirage เป็นเกมแอ็กชั่นผจญภัยที่จะพาเราไปพบกับเรื่องราวของ Basim Ibn Ishaq (ตัวละครที่เปิดตัวครั้งแรกใน Valhalla) ในการผจญภัยที่ กรุงแบกแดดสมัยศตวรรษที่ 9 เราจะได้ติดตามการเปลี่ยนผ่านชีวิตของเขาจากหัวขโมยข้างถนนไปจนถึงสมาชิกเต็มตัวแห่งกลุ่มภราดรนักฆ่าที่ต่อสู้เพื่อสันติภาพและเสรีภาพกับเหล่า Templar Order
และในโอกาสนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปสวมบทบาทมือสังหารรภายในเกมนี้เรียบร้อยแล้ว และผู้เขียนก็ไม่พลาดที่จะมานำเสนอรีวิวเกมที่น่าสนใจให้ทุกคนได้ติดตามกันครับ
อนึ่ง… การรีวิวนี้เกิดขึ้นบน PS5 ระหว่างวันที่ 3 – 6 ตุลาคม 2566 หากผู้อ่านกลับมาอ่านในภายภาคหน้า ข้อสังเกตบางข้ออาจมีการแก้ไขเรียบร้อยแล้วก็เป็นได้
กราฟิกสวยงามไม่ผิดหวัง
Assassin’s Creed Mirage ยังคงมาตรฐานของกราฟิกไว้ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอนิเมชั่นของตัวละคร ดีไซน์ตัวละครต่าง ๆ ไปจนถึงสภาพแวดล้อมที่ยังคงสวยงามและโดดเด่นอยู่เช่นเคย ซึ่งหากใครเคยเล่นเกมภาคก่อนหน้านี้มาก่อนก็ถือว่าทำออกมาได้ดีเช่นเคย ส่วนใครที่ไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อนก็คงประทับใจกับความละเอียดของกรุงแบกแดด และสถานที่สำคัญต่าง ๆ ที่ถูกออกแบบได้สวยงามจนน่าประทับใจ
สิ่งที่ผู้เขียนแอบกังวลในช่วงที่เล่นเกมช่วง Exclusive Hands-On ก็คือความละเอียดของกราฟิกทำให้เรามองหาไอเทมที่ซ่อนอยู่นั้นทำได้ยาก ซึ่งเมื่อมาเล่นบนจอใหญ่จริง ๆ ก็พบว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิด ฉะนั้นผู้เขียนรู้สึกดีขึ้นเกี่ยวกับประเด็นนี้เป็นอย่างมาก
เกมเพลย์ที่เปิดกว้างสำหรับผู้เล่นหลากหลายสไตล์
แม้ว่าเกมนี้จะมีการโปรโมทมาอย่างหนักว่าจะพาผู้เล่นย้อนกลับไปสู่เกมเพลย์ลอบเร้นแบบดั้งเดิมที่ใช้ในยุคแรกของเกม แต่โดยรวมแล้วผู้เขียนรู้สึกว่าเกมนี้ทำออกมาได้ดีกว่านั้น เพราะตัวเกมไม่ได้ใช้เกมเพลย์ของเกมต้นฉบับมาทั้งหมด แต่เป็นการผสมผสานเกมเพลย์แบบ RPG และลอบเร้นเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว
ภายในเกมนี้ผู้เล่นจะต้องมุ่งเน้นไปที่การหลบ ๆ ซ่อน ๆ ก่อนการสังหารเป็นหลัก ซึ่งให้อารมณ์ของเกมแฟรนไชส์ในยุคแรก ๆ ที่จะมุ่งเน้นการลอบสังหารจริง ๆ อีกทั้งตัวเกมยังได้นำระบบค่าหัวมาใช้งานด้วย โดยเมื่อไหร่ก็ตามที่เราสังหารศัตรูแบบเปิดเผย คะแนนการหมายหัวของเราก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้เราโดนตามล่าจากยามแทบจะทุกครั้งที่เราปรากฏตัว ซึ่งในช่วงนั้นเองเราก็จะต้องไปทำการฉีกใบประกาศทิ้ง หรือติดสินบน NPC เพื่อลดแต้มค่าหัวของเราลง
อย่างไรก็ตามหากใครไม่ชอบเล่นแบบนักฆ่า แต่ชอบแบบนักรบมากกว่าก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยเราสามารถเดินเข้าไปให้ศัตรูเห็นและฟาดฟันกับพวกมันได้ทันที อย่างไรก็ตาม ศัตรูเองก็พร้อมที่จะเรียกทัพเสริมมารุมยำผู้เล่นแบบเต็มสตรีมเช่นกัน แต่ถ้าผู้เล่นคนไหนเคยชินกับเกมแอ็กชั่นที่มีการหลบหลีก หรือการปัดป้อง (Parry) อยู่แล้ว ก็จะทำให้การต่อสู้นี้ไม่ยากจนเกินไปนัก เพราะเราสามารถปัดป้องและกำจัดศัตรูได้ในทันที ซึ่งถือว่าดีมาก ๆ นอกจากนี้ตัวเกมยังมาพร้อมกับระบบไอเทมที่จะช่วยเราในการต่อสู้ด้วยไม่ว่าจะเป็นมีดที่ปาในระยะไกลได้ หรือแม้กระทั่งระเบิดควันสุดโหดที่ปาปุ๊ป เราก็แทบจะสังหารศัตรูได้ทุกตัวที่โดนระเบิดควันเข้าไป
ถ้าหากใครคิดถึงระบบ RPG ก็ต้องบอกก่อนว่าเกมนี้ยังคงระบบ RPG เอาไว้ในส่วนหนึ่ง แม้ว่าตัวเกมจะถอดระบบเลเวลของตัวละครออกไป แต่เกมก็ยังมีระบบอัป Skill Tree, การเปลี่ยน และอัปเกรดอาวุธ ซึ่งอาวุธและอุปกรณ์เหล่านี้ก็จะมีสกิลพาสซีฟแตกต่างกันไปให้ผู้เล่นได้เลือกใช้งานกันตามสไตล์การเล่นของตนเอง ซึ่งผู้เขียนประทับใจในส่วนนี้มากเป็นพิเศษ เพราะนั่นแปลว่าเราสามารถเลือกใช้อุปกรณ์เพื่อส่งเสริมสไตล์การเล่นของเราได้อย่างเต็มที่
โดยรวมแล้วเกมเพลย์ของเกมนี้เป็นการผสมผสานเกมเพลย์ของ Assassin’s Creed 2 ยุคเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว ทำให้เกมนี้เหมาะกับผู้เล่นหลากหลายสไตล์ อีกทั้งยังเปิดกว้างให้ผู้เล่นได้ทดลองเล่นเป็นมือสังหารในสไตล์ที่ตนเองต้องการได้อีกด้วย
เกมมือสังหารที่เหมาะกับผู้เล่นมือใหม่
ส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกว่า Assassin’s Creed Mirage เป็นเกมที่เหมาะกับผู้เล่นอยู่พอสมควรด้วยแผนที่ที่ไม่ใหญ่จนเกินไปเหมือน 2-3 ภาคที่ผ่านทำให้ผู้เล่นใหม่ไม่เกิดอาการสับสน แต่ในความเล็กนี้ก็มีรายละเอียดเยอะน่าประทับใจทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่าผู้พัฒนาเกมไม่ได้ลดขนาดแผนที่แบบลวก ๆ แต่พวกเขาชดเชยขนาดที่หายไปด้วยคุณภาพในรายละเอียดแทน
นอกจากนี้เนื้อเรื่องภายในเกมก็ถือว่าเป็นเนื้อเรื่องที่ย่อยค่อนข้างง่าย และใช้เวลาเล่นไม่นานนัก (ประมาณ 20 ชั่วโมง) ซึ่งความยาวนี้หลายคนอาจจะมองว่าสั้นพอสมควร แต่ความจริงแล้วมันคือระยะเวลาปกติของเกม Assassin’s Creed ยุคแรก ๆ ใช้ ทำให้เกมนี้ไม่ยาวจนเกินไป แต่ก็ไม่สั้นจนรู้สึกไม่คุ้มค่า แม้ว่าจะมีความเสียดายเล็กน้อยที่บทบาทของตัวละครบางตัวแอบสั้นไปหน่อยทำให้เรายังไม่ทันได้รู้สึกผูกพันพวกเขาเท่าไหร่นัก พวกเขาก็จากเราไปเสียแล้วซะอย่างนั้น
สรุปรีวิว
โดยรวมแล้ว Assassin’s Creed Mirage ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่ทำออกมาได้ดีในฐานะเกมที่เชื่อมเกมเพลย์ Assassin’s Creed 2 ยุคเข้าด้วยกัน แม้ว่าจะมีข้อตำหนิเดิม ๆ อย่าง AI ของ NPC ที่หลาย ๆ ครั้งก็แอบเอ๋อจนน่าขำ (เช่นเราไปยืนอยู่หลังมันมันก็ไม่รู้ตัวสักที หรือเดินมาให้เราฆ่าง่าย ๆ) แต่โดยรวมแล้วเกมนี้ก็ถือว่าเป็นเกมที่เล่นได้สนุก และเพลิดเพลินในระดับที่น่าพึงพอใจครับ
ส่วนตัวผู้เขียนขออนุญาตให้คะแนนเกมนี้ที่ 8 เต็ม 10 ครับ ผู้เขียนขอย้ำว่า รีวิวนี้ รวมถึงคะแนนนี้เป็นมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น แฟนเกมคนอื่น ๆ อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกันก็ได้ครับ
จุดเด่น
– เนื้อเรื่องย่อยง่าย ความยาวกำลังดี
– เกมเพลย์ที่ผสมผสาน Assassin’s Creed 2 ยุคได้ลงตัวพอสมควร
– การ Parkour ที่ทำออกมาได้ลื่นไหลกว่าเดิม
– เข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้เล่นหลากหลายสไตล์
– ภารกิจค่อนข้างหลากหลาย
จุดสังเกต
– AI ยังคงงงชีวิตเช่นเคย
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Ubisoft ที่เอื้อเฟื้อและสนับสนุนเกมมาให้เราได้รีวิวกันในครั้งนี้ครับ ส่วนครั้งหน้าจะเป็นเกมอะไรนั้น โปรดติดตามกันได้เลย…
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัสแซสซินส์ ครีด มิราจ ไปที่: assassinscreed.com
สำหรับข่าวสารล่าสุดของอัสแซสซินส์ ครีดและเกมอื่น ๆ จาก Ubisoft ไปที่ news.ubisoft.com
*ผู้เล่นที่ซื้ออัสแซสซินส์ ครีด มิราจ บน Xbox One หรือ PlayStation®4 จะสามารถอัปเกรดเกมไปเป็นเวอร์ชันเน็กซ์เจน (Xbox Series X | S or PlayStation®5) โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อัสแซสซินส์ ครีด มิราจ ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Smart Delivery – ซื้อเกมรอบเดียวและเล่นได้ทั้งบน Xbox One หรือ Xbox Series X | S เมื่อคอนโซลทั้งคู่และอัสแซสซินส์ ครีด มิราจ พร้อมให้เล่น ส่วนเกมอัสแซสซินส์ ครีด มิราจ ทั้ง PlayStation®4 และ Blu-Ray™ ก็ให้สิทธิ์เข้าเล่นเกมอัสแซสซินส์ ครีด มิราจเวอร์ชันดิจิทัลของ PlayStation®5 รุ่นดิจิทัล โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเมื่อพร้อมให้เล่น โดยจำเป็นต้องมีเครื่อง PlayStation®5 หรือ PlayStation®5 รุ่นดิจิทัล, แผ่นเกม (หากเป็นเจ้าของแผ่น Blu-Ray™) ต้องถูกใส่อยู่ในถาด PlayStation®5 เพื่อใช้เล่น มีการลงทะเบียน PlayStation® Network, พื้นที่เพิ่มเติม และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ อาจมีค่าธรรมเนียมการใช้งานแบนด์วิธ ความคืบหน้าของเกมยังเปิดให้ใช้งานระหว่าง PC และ Luna รวมถึง PC ด้วย