Switchคอนโซล / พีซีรีวิวรีวิว / พรีวิวเกม

[รีวิว] The Legend of Zelda: Echoes of Wisdom แว่วเสียงอิสตรีแห่งปรีชาญาณ

เกมภาคใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมรูปแบบการเล่นสุดคลาสสิกและการนำเสนอที่ยอดเยี่ยม

เป็นที่เลื่องลือกันมานานว่า The Legend of Zelda ทุกๆ ภาคนั้นมีกิมมิคที่การออกแบบดันเจี้ยนขนาดใหญ่พร้อมรายละเอียดมากมายราวกับว่าหนึ่งดันเจี้ยนสามารถเทียบได้กับหนึ่งเกมในยุค Famicom กันเลย และในทุกๆ ภาคเองก็จะมีการยืนพื้นตัวละครหลักกันอยู่เสมอเป็น Link กับ Ganon คู่แค้น และเจ้าหญิง Zelda ที่แม้บางภาคอาจไม่ปรากฏตัวแต่เธอก็คือหนึ่งในผู้ถือครองสัญลักษณ์ Triforce ในส่วนของ Wisdom หรือปรีชาญาณที่เป็นตัวแทนแห่งความเฉลียวฉลาดและความรอบรู้ เมื่อครั้งที่เราได้บังคับตัวละครนี้ในฐานะตัวรองก็จะเห็นว่าไม่ได้เป็นการต่อสู้ที่เน้นกำลังเท่าไรนัก

ในภาคใหม่อย่าง Echoes of Wisdom นับเป็นครั้งแรกที่เธอจะได้เป็นผู้นำในฐานะตัวเอกและถ่ายทอดความรอบรู้นั้นออกมาให้ผู้เล่นผ่านเกมเพลย์ที่อ้างอิงจากเวอร์ชันคลาสสิก แต่ขณะเดียวกันก็ขยับขยายสเกลของเกมสู่รูปแบบโลกเปิดไปด้วย ซึ่งความแปลกใหม่ที่ได้รับการนำเสนอครั้งนี้จะออกมาเป็นรูปแบบไหน ขอเชิญติดตามกับรีวิวของพวกเรา ThisIsGame Thailand กันได้ข้างล่างนี้เลยครับ

[การเดินทางของสาวแกร่ง]

จุดเด่นของเกมภาคนี้ก็คือ Zelda จะเป็นตัวละครหลักที่เราใช้ควบคุม ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ใหม่มากๆ เพราะ Link มักจะเป็นตัวเอกที่ทำหน้าที่ในบทบาทตัวนำเสมอ ด้วยการนำเสนอที่เปลี่ยนไป มุมมองของตัวละครต่างๆ ที่จะพูดคุยกับเราก็เปลี่ยนไปด้วยเพราะถึงอย่างไร Zelda ก็คือเจ้าหญิง บทพูดของตัวละคร การกระทำต่างๆ ที่ NPC จะมีต่อเราก็ให้อารมณ์ที่แตกต่างจาก Link อย่างเห็นได้ชัด

ท่าทางรูปแบบการควบคุมเองก็สอดคล้องกับลักษณะของ Zelda เช่นกัน นั่นคือการเน้นย้ำความบุ๋นมากกว่า เพราะเราจะไม่ได้ไปตบตีกับศัตรูแบบจริงจังนัก คือมันจะทำก็ทำได้เพราะเราสามารถเข้าสู่โหมดนักดาบที่จะบังคับแบบเดียวกับ Link คือฟาดฟันศัตรูรัวๆ ได้เลยตลอด แต่ก็จะมีเกจพลังที่ต้องอาศัยการคูลดาวน์สลับไปมาบางครั้ง ทั้งนี้ในส่วนของเกมเพลย์หลักๆ Zelda จะต้องเน้นการแก้ปริศนาด้วยความรู้ของเธอผสมผสานกับพลังใหม่จากการร่วมมือของ Tri แต่ต้องชมผู้พัฒนาที่ทำให้จังหวะการเล่นรวดเร็วมากๆ ออกท่าทางต่อสู้ได้เร็ว

รีวิว The Legend of Zelda: Echoes of Wisdom

[เกมเพลย์สร้างสรรค์และสนุกสนาน]

การบังคับตัวละครของ Zelda นั้นเหมือนกับ Link จากภาคก่อนๆ ที่เป็นมุมกล้องดั้งเดิม แต่เธอไม่ได้ใช้ดาบเป็นหลักเพราะจะมีไม้เท้าที่เสกสิ่งของต่างๆ ขึ้นมา และสิ่งเหล่านี้เองก็จะเป็นหัวใจหลักในการแก้ปริศนา หรือต่อสู้กับบอสอย่างเช่นการเสกเตียงขึ้นมาต่อเป็นบันไดแบบที่เราได้เห็นกันบ่อยๆ และคิดว่าหลายคนจะหากินด้วยวิธีนี้เพราะขนาดมันใหญ่ (ฮา) หรือจะเป็นสิ่งที่แบบเหนือความคาดหมาย เสกได้แม้กระทั่งลูกกระจ๊อกให้มาเป็นพาร์ตเนอร์ต่อสู้

แต่เราจะเรียกเกมนี้ว่าเป็นเกม The Legend of Zelda ไม่ได้เลยถ้าหากมันไม่มีจิตวิญญาณของความเป็น Zelda เพราะโครงสร้างโดยรวมของเกมก็ยังคงเหมือนเดิมคือการที่เราตะลุยในดันเจี้ยนขนาดสเกลไม่เล็กไม่ใหญ่ วนกลับมาสู่หมู่บ้าน ออกเดินทางใหม่อีกครั้ง รับไอเทมพิเศษที่จะช่วยแก้ไขสถานการณ์อะไรสักอย่างตรงหน้า เป็นลูปไปมาจนถึงบอสใหญ่จบเกม สิ่งเหล่านี้ถึงจะดูเป็นจังหวะของเกมที่เดาได้ง่าย แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยรายละเอียดชวนสำรวจก็ช่วยเพิ่มรสชาติให้น่าติดตาม ไม่มีช่วงง่วง

รีวิว The Legend of Zelda: Echoes of Wisdom

นอกจากนั้นเรายังสามารถตามหาไอเทมเครื่องประดับต่างๆ มาใส่ รวมไปถึงเที่ยวชมเมืองที่มีแผนที่คล้ายกับเกมภาคเก่าอย่าง A Link to the Past แค่ได้เห็นอาณาจักรที่เนรมิตขึ้นมาใหม่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ก็ฟินเพิ่มไปอีกสำหรับคนเล่นเก่าๆ ทั้งนี้ Grezzo ได้ยกระดับความสนุกนี้ด้วยคุณสมบัติใหม่ๆ ที่ทำให้เกมมีรายละเอียดมากมายจนแทบจะเหมือนกับ Tears of the Kingdom ในเวอร์ชัน SD ขึ้นไปอีก

[ต่อยอดความเป็นประสบการณ์คลาสสิก คือหัวใจของ The Legend of Zelda: Echoes of Wisdom ]

การอัปเกรดสเกลของเกมให้ยิ่งใหญ่ขึ้นเทียบเท่ากับเกมภาค Tears of the Kingdom อย่างที่กล่าวข้างต้น นับเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ Echoes of Wisdom มีความน่าดึงดูดยิ่งขึ้นสำหรับสาย RPG เพราะแผนที่ของเกมนี้ไม่ได้มีขนาดเล็กๆ เหมือน Link’s Awakening แต่มันคือแผนที่ที่ออกแบบมาใหม่ด้วยแนวทางโอเพนเวิลด์เต็มตัว เทียบสเกลแล้วผมว่าใหญ่กว่าภาคนั้น 5 – 6 เท่า ดังนั้นเดินเล่นกันเพลินแถมยังมีกิจกรรมอะไรให้ทำมากมายเช่น มินิเกมขี่ม้า (และแน่นอนว่าเราขี่ม้าสำรวจแผนที่ก็ได้เพราะฉากมันใหญ่จริงๆ)

นอกจากนั้นแล้วเมนู UI สำหรับการแสดงผลเควสต์ก็ออกแบบตามภาคใหม่ๆ แล้วด้วยครับ โดยเกมจะมีทั้งเนื้อเรื่องหลัก และเควสต์ย่อยที่โชว์ให้เห็นชัดเจนว่าเรากำลังทำภารกิจไหนอยู่และควรโฟกัสอะไรยังไง เท่านั้นไม่พอก็มีระบบคราฟต์ไอเทมเช่นกัน มันคือการนำเกมคลาสสิกมาผสมผสานความสดใหม่เพื่อสร้างรากฐานสำคัญสำหรับเกม Zelda ในอนาคตควบคู่ไปกับภาคโอเพนเวิลด์สเกลใหญ่

รีวิว The Legend of Zelda: Echoes of Wisdom

[กราฟิก และดนตรี]

รูปแบบกราฟิกของเกมได้รับการนำเสนอด้วยแนว SD สามมิติแบบเดียวกันกับ Link’s Awakening เลย และเพลงประกอบเองก็จะเห็นว่ามีทั้งเพลงเก่าที่รีมิกซ์และเพลงใหม่ผสมผสานกันไป โดยแนวเพลงจะไม่ได้หลากหลายมากนักแต่ก็ให้ความรู้สึกสนุกสนานเน้นย้ำอารมณ์แบบการเดินทางผจญภัย ทั้งนี้ขอวนมาที่กราฟิกอีกครั้ง คิดว่ารูปแบบงานภาพแบบนี้น่าจะอยู่กับเกม Zelda มุมกล้องคลาสสิกกันอีกยาวๆ ครับ อย่างไรเสียอดเซ็งนิดๆ ไม่ได้ที่เรื่องเฟรมเรตยังแก้ไม่ตกแม้จะผ่านมือกับภาค Link’s Awakening ก็ตาม

[บทสรุป]

The Legend of Zelda: Echoes of Wisdom เป็นประสบการณ์แบบคลาสสิกที่เพิ่มบรรยากาศที่สดใหม่มาได้อย่างลงตัวกลมกล่อม และไม่ทิ้งความเป็นเกม Zelda แม้รูปแบบการนำเสนอเกมหลักจะค่อนไปในทางการแก้ไขพัสเซิลเสียส่วนใหญ่ ทว่าก็ยังมีความเป็นแอ็กชันผจญภัยแบบที่เป็นซิกเนเจอร์ที่เรารู้จักกันดี โดยรวมก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศสู่ความสนุกไซส์พกพาที่แม้จะไม่ใช่มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ ทว่าก็หยิบมาเล่นได้ง่ายๆ เหมาะกับโหมดพกพาทีเดียว

สำหรับใครที่สนใจเกมนี้ต้องบอกเลยว่า The Legend of Zelda: Echoes of Wisdom ได้วางจำหน่ายแล้วบน Nintendo Switch เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่น่าสนใจสำหรับทั้งแฟนซีรีส์นี้และมือใหม่เพราะถึงอย่างไรเนื้อหาก็ยังคงแยกออกมาจากภาคอื่นๆ และจบในตัว ส่วนโอกาสหน้า ThisIsGame Thailand จะมีอะไรมาแบ่งปันอีกนั้น ว่าแล้วอย่าลืมติดตามที่นี่เช่นเคยเพื่อไม่ให้พลาดทุกข่าวสารและความเคลื่อนไหวในโลกแห่งเกมก่อนใคร

GantaroZX

นักเขียนข่าววิดีโอเกม ผนวกสังคม วัฒนธรรม ศิลปะ เพศ แบบคนไทยคนแรกของแทร่ ผู้ใหญ่บ้านแห่ง Animal Crossing | กินเก่ง | ภูมิคุ้มกันทางโซเชียลสูง ชอบด่าคน กวนส้นติง |
Back to top button