[รีวิว] Midnight Murder Club – เกมปาร์ตี้ฉลองเลือดในคฤหาสน์หรู

เกมปาร์ตี้สยองขวัญสุดระทึกที่ดำเนินเรื่องในคฤหาสน์มืดสนิท คุณและเพื่อน ๆ สูงสุด 5 คนจะต้องใช้ไฟฉาย ปืนพก และระบบแชทระยะใกล้ ค่อย ๆ ย่อง ตะโกน และเผชิญหน้ากับสถานการณ์สุดตึงเครียด ทั้งการยิงปะทะกับศัตรู กับดักสุดวุ่นวาย และความมืดที่ปกคลุมไปทั่วทุกมุม

ในโอกาสนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปร่วมในงานปาร์ตี้ฉลองเลือดมาแล้ว และก็ไม่พลาดที่จะนำรีวิวมาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ

อนึ่ง… การรีวิวนี้เกิดขึ้นบน PS5 โดยหากผู้อ่านกลับมาอ่านในภายภาคหน้าหลังจากที่รีวิวนี้ได้เผยแพร่ไปแล้ว ข้อสังเกตบางข้ออาจมีการแก้ไขเรียบร้อยแล้วก็เป็นได้

เอาชีวิตรอด สังหารผู้เล่นอื่นในความมืดในงานปาร์ตี้ฉลองเลือดสุดตึง

ในทันทีที่เริ่มเกม สิ่งแรกที่ต้องพูดถึงคือบรรยากาศอันชวนขนลุกและความตื่นเต้นที่เกมนี้มอบให้ ผู้เล่นจะถูกโยนเข้าไปในคฤหาสน์สุดหลอนที่กำลังจัดงาน “ปาร์ตี้ฉลองเลือด” ภายใต้เงามืดที่เต็มไปด้วยอันตราย โดยมีเพียงปืนหนึ่งกระบอกและไฟฉายติดตัว หน้าที่ของผู้เล่นจะแตกต่างกันไปตามโหมดที่เลือก แต่เป้าหมายหลักยังคงชัดเจนคือเอาชีวิตรอดและกำจัดผู้เล่นคนอื่นเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบและก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของงานเลี้ยงอันบ้าคลั่งนี้

สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนประทับใจที่สุดคือความเป็นเอกลักษณ์ของเกมที่ผสมผสานความมันส์แบบเกม FPS เข้ากับกลิ่นอายของเกมแนวลอบเร้นได้อย่างลงตัว ทำให้ทุกแมตช์เต็มไปด้วยความลุ้นระทึกและความสนุกที่ไม่ซ้ำรอบ ใครที่ชอบความตื่นเต้นท้าทายและอยากสัมผัสบรรยากาศปาร์ตี้สุดโหด เกมนี้คือหนึ่งในประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาด!

รายละเอียดปลีกย่อยจำนวนมาก ที่ทำให้ผู้เล่นต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว

แม้ว่าโครงสร้างการเล่นหลักของเกมอาจดูคล้ายกันในหลายโหมด แต่ต้องบอกเลยว่ารายละเอียดเล็ก ๆ ที่ทีมพัฒนาใส่เข้ามากลับทำให้เกมนี้มีเสน่ห์และน่าหลงใหลยิ่งขึ้น หนึ่งในจุดเด่นคือระบบไฟฉาย ที่ไม่เพียงช่วยให้เรามองเห็นเส้นทางด้านหน้าได้ชัดเจนขึ้น แต่ก็แลกมากับความเสี่ยงที่ศัตรูจะเห็นแสงไฟและตามรอยเราได้ง่ายขึ้น เพิ่มทั้งความลุ้นและแรงกดดันทุกครั้งที่ต้องเลือกว่าจะเปิดหรือปิดไฟดี

สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนประทับใจยิ่งกว่าคือ ไฟฉายในเกมไม่ได้มีไว้แค่ส่องดูทางเท่านั้น เพราะไฟฉายยังสามารถรบกวนทัศนวิสัยของศัตรูได้อีกด้วย การสาดแสงไปที่หน้าของคู่ต่อสู้จะทำให้พวกเขามองเห็นเราได้ยากขึ้น กลายเป็นกลยุทธ์เล็ก ๆ ที่สร้างสถานการณ์สุดระทึกและชวนให้เราต้องวางแผนการใช้ไฟฉายอย่างชาญฉลาด

นอกจากนี้ ด้านงานเสียงก็ทำออกมาได้สมจริงและช่วยเพิ่มบรรยากาศสุดตึงเครียดอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะเมื่อเล่นผ่านหูฟัง เราจะได้ยินแม้กระทั่งเสียงฝีเท้าของศัตรูที่อยู่ไกล ทำให้การเล่นไม่ได้มีแค่การวิ่งบวกกันเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการฟัง วิเคราะห์ และวางแผนให้รอบคอบในทุกจังหวะ

ยิ่งไปกว่านั้น การไล่ล่าภายในคฤหาสน์เต็มไปด้วยกับดักที่ซ่อนเซอร์ไพรส์เอาไว้ทุกมุม บ่อยครั้งที่เราคิดว่าปลอดภัยแล้ว แต่กลับถูกไฟลุกไหม้เผาตายแบบไม่ทันตั้งตัว หรือเผลอเดินไปใต้โคมไฟที่หล่นใส่ซะงั้น รายละเอียดเหล่านี้ทำให้ผู้เล่นต้องตื่นตัวและระมัดระวังทุกฝีก้าว เติมเต็มความสนุกและความตื่นเต้นให้เกมนี้โดดเด่นจนยากจะลืม

โหมดการเล่นที่หลากหลาย สนุกกับเพื่อนได้หลายแบบ

สำหรับโหมดการเล่นของเกมนี้ต้องบอกเลยว่ามีให้เลือกหลากหลายและสร้างความประทับใจได้ไม่น้อย เพราะแต่ละโหมดถูกออกแบบมาให้มีเอกลักษณ์และรูปแบบการเล่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เริ่มจากโหมดพื้นฐานอย่าง Free for All ที่ผู้เล่นจะต้องลงสนามแบบเดี่ยว ๆ ไล่ล่าทุกคนที่เจออย่างดุเดือด, Team Deathmatch ที่เปิดโอกาสให้รวมทีมกับเพื่อนเพื่อต่อสู้กับทีมฝ่ายตรงข้าม, หรือจะเป็น Thief in the Night ที่ผู้เล่นต้องออกล่าขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ทั่วแผนที่ พร้อมระวังการซุ่มโจมตีจากศัตรูคนอื่นไปด้วย และยังมี Headhunters ที่เพิ่มความเข้มข้นด้วยภารกิจปกป้องหรือทำลายโทเท็มของอีกฝ่าย รวมไปถึง Wildcards ที่เพิ่มลูกเล่นด้วยการ์ดพิเศษที่สามารถพลิกสถานการณ์ให้ผู้เล่นได้เปรียบเหนือคู่ต่อสู้อย่างคาดไม่ถึง

นอกจากโหมดแข่งขันกันเองแล้ว เกมยังมีโหมด Co-op สำหรับสายร่วมมือกับเพื่อนอย่าง Graveyard Shift ที่ผู้เล่นต้องร่วมแรงกันเอาชีวิตรอดจากฝูงปีศาจสุดโหดตลอด 9 คืน โดยแต่ละคืนจะมีภารกิจและความท้าทายที่แตกต่างกันไป จุดเด่นที่ทำให้ผู้เขียนประทับใจมากคือการเพิ่มระบบ Roguelike ที่ผู้เล่นจะมีโอกาสได้รับบัฟพิเศษที่จะสุ่มมาให้ผู้เล่นได้เลือกหลังจากผ่านแต่ละคืน ทำให้โหมดนี้กลายเป็นอีกหนึ่งโหมดที่เล่นซ้ำได้ไม่มีเบื่อ และเป็นประสบการณ์ที่ชวนให้กลับมาท้าทายซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างแท้จริง

แม้จะสนุกแต่ก็ยังมีจุดที่น่าเสียดาย

แม้ตัวเกมจะทำออกมาได้สนุกและน่าประทับใจ แต่ก็มีหนึ่งประเด็นเล็ก ๆ ที่ผู้เขียนรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง นั่นคือเรื่องการเลือกตัวละคร เพราะในทุกครั้งที่เข้าเล่น ระบบจะสุ่มตัวละครมาให้โดยอัตโนมัติ ผู้เล่นจึงไม่มีโอกาสเลือกหรือปรับแต่งคาแรกเตอร์ตามความชอบส่วนตัว ซึ่งส่วนตัวแล้วอยากเห็นฟีเจอร์ที่ให้ผู้เล่นสามารถเลือกตัวละคร หรืออย่างน้อยได้ปรับแต่งหน้ากากให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวบ้าง หากในอนาคตผู้พัฒนานำระบบนี้มาเพิ่มเติม จะยิ่งทำให้ประสบการณ์การเล่นมีความสนุกและอินไปกับตัวละครได้มากขึ้นอย่างแน่นอน

อีกประเด็นที่รู้สึกขัดใจเล็กน้อยคือระบบการเล่นกับเพื่อน ถ้าทีมของเรามีผู้เล่นไม่ครบ 6 คน เกมจะบังคับเพิ่มบอทเข้ามาทันที ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ความสนุกและความท้าทายลดลงไปพอสมควร เพราะเราอยากสัมผัสการแข่งขันที่มาจากผู้เล่นจริง ๆ มากกว่า ถึงอย่างนั้น จุดนี้ก็ยังไม่ใช่ข้อเสียใหญ่โตอะไร เพียงแต่ถ้ามีตัวเลือกให้ปรับได้เองคงจะลงตัวและตอบโจทย์ผู้เล่นได้หลากหลายกว่าเดิม

สรุปรีวิว

โดยรวมแล้วเกมนี้ถือว่าเป็นเกมที่สนุก และเล่นได้เพลินด้วยองค์ประกอบเกมที่ถูกทำออกมาได้อย่างน่าสนใจ ทั้งโหมดการเล่นที่หลากหลาย, เกมเพลย์ที่ผสมผสานความเป็นเกมซ่อนแอบ รวมไปถึง Roguelike เข้ามาได้ในระดับหนึ่ง แต่กลับมีอุปสรรคใหญ่ที่มาขัดขวางการเล่นนั่นก็คือ “การหาผู้เล่นมาเล่นด้วย” เพราะจากที่ผู้เขียนได้ทดลองเล่นดูก็พบว่าการหาห้องเล่นยากมาก ๆ รวมไปถึงข้อติติงเล็กน้อยที่ได้ระบุไว้ก็หวังว่าทางผู้พัฒนาจะเพิ่มเติมเข้ามาในภายหลังครับ

ส่วนตัวผู้เขียนขออนุญาตให้คะแนนเกมนี้ที่ 8 เต็ม 10 ครับ ผู้เขียนขอย้ำว่า รีวิวนี้ รวมถึงคะแนนนี้เป็นมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น แฟนเกมคนอื่น ๆ อาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกันก็เป็นได้ครับ

จุดเด่น

– เกมเพลย์ที่โดดเด่น น่าสนใจ ผสมผสานได้อย่างลงตัว

– รายละเอียดของเกมที่ถูกใส่เข้ามาในระดับที่พอดี น่าประทับใจ

– มีโหมดให้เล่นหลากหลาย รวมไปถึงมีโหมด Co-op ด้วย

ข้อสังเกต

– การหาห้องแอบยากเกินไป

– ไม่มีระบบปรับแต่งตัวละคร

– โดนบังคับเพิ่ม Bot ในการเล่น

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ Sony Interactive Entertainment ที่เอื้อเฟื้อและสนับสนุนเกมมาให้เราได้รีวิวในครั้งนี้ด้วยครับ ส่วนครั้งหน้าจะเป็นเกมอะไรนั้น โปรดติดตามกันได้เลย…

ภาพสกรีนช็อตเพิ่มเติม

ผู้อ่านคนใดต้องการติดตามรีวิว / พรีวิวเกมอื่น ๆ ของ This Is Game Thailand ก็สามารถมาได้ที่นี่ครับ >>>คลิก<<<