10 อันดับเกมที่มีกราฟิกสวยงามมากที่สุดบน Nintendo Switch

หากพูดถึง Nintendo Switch แล้ว หลายคนก็มักจะนึกถึงเกมเพลย์และกิมมิคเสียส่วนใหญ่เพราะตั้งแต่แกะกล่องครั้งแรกเราก็จะได้ใช้งานลูกเล่นอย่างการถอดจอย – ใส่จอยกันก่อนเลย แต่หารู้ไม่ว่าเครื่องเล่นสายเลือดไฮบริดสเปคจิ๋วนี้ก็ซ่อนขุมพลังเอาไว้ด้วยเช่นกัน โดยล่าสุดก็มีการจัดอันดับ 10 เกมที่มีภาพสวยงามที่สุดโดยสื่อนอกผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเกมคอนโซลอย่าง Digital Foundry แล้วด้วยครับ แต่จะมีเกมอะไรบ้างนั้นว่าแล้วมาติดตามกันข้างล่างนี้เลย

1. Fast RMX

เริ่มเกมแรกกับเกมที่วางจำหน่ายพร้อมเครื่องตั้งแต่ปี 2017 โดยเกมนี้แม้จะเป็นการรีมาสเตอร์จากภาค Wii U แต่สมรรถนะก็ถือว่ายอดเยี่ยมด้วยการรองรับความละเอียดระดับ 1080p ที่เฟรมเรต 60FPS แบบนิ่งๆ ไม่มีสะดุด แม้จะเล่นโหมดพกพาที่มีภาพที่ 720p ก็ยังถือว่าน่าชื่นชมด้วยระบบแสงและพื้นผิวของวัตถุอันคมชัด ส่วนเกมเพลย์นั้นแม้จะไม่เกี่ยวกับเรื่องกราฟิกแต่ขอแนะนำว่าหากใครชื่นชอบเกมแนวรถแข่งที่มีธีมไซไฟและมาพร้อมความเร็วสูงอยู่แล้วไม่ควรพลาด

2. Metroid Prime Remastered

ทาง Digital Foundry มองว่าเกมนี้คืออาหารจานเรียกน้ำย่อยก่อนที่จะได้ไปว้าวกันกับ Metroid Prime 4: Beyond ที่จะวางจำหน่ายภายในปี 2025 และต่อให้เป็นการเรียกชื่อว่ารีมาสเตอร์ แต่ด้วยคุณสมบัติที่เพิ่มเข้ามาก็ไม่แปลกใจนักหากจะบอกว่าเกมนี้เป็นรูปแบบรีเมคส่วนของกราฟิกชนิดที่ว่ายกเครื่องมากกว่าเริ่มตั้งแต่การเพิ่มรายละเอียดในฉาก, แสงที่ปรับปรุงใหม่ให้สมจริงมากขึ้น และต่อให้เปลี่ยนเท็กซ์เจอร์พื้นผิวไป แต่พวกเขาพบว่ายังคงให้ความเคารพกับภาคต้นฉบับอย่างชัดเจน

3. Super Mario Bros. Wonder

แน่นอนว่าเกมนี้อาจจะไม่ได้สวยงามในแบบที่สมจริง แต่สิ่งที่โดดเด่นก็คือการผลักดันเทคโนโลยีให้ถึงขีดสุดเพื่อให้การเดินทางในฉากสองมิติของลุงหนวด Mario และผองเพื่อนมีชีวิตชีวามากขึ้นอีกทั้งเต็มไปด้วยเสน่ห์ โดยจุดที่น่าชื่นชมก็คือการที่โมเดลตัวละครมีท่าทางแบบเกินจริงราวกับใช้สไปรต์สองมิติให้ตัวละครขยับไปมาแบบแบ่งเป็นซีนเหมือนภาพที่เล่นไปเรื่อยๆ ซึ่งต่างจากการบังคับแบบสามมิติที่ป้อนคำสั่งสู่โมเดลตรงๆ นอกจากนั้นแล้วฉากหลังเองก็ออกแบบมาได้ดี

4. The Touryst

อีกหนึ่งเกมจากผู้พัฒนาเดียวกันกับ Fast RMX โดยนำเสนอกราฟิกแบบวอกเซลคล้ายกับ Minecraft แต่เรนเดอร์ด้วยขุมพลังของเอนจิ้นที่เป็นเทคโนโลยีเฉพาะตัว ให้ภาพที่คมชัดและมีแสงสีที่สมจริง อนิเมชันของตัวละครเองก็ลื่นไหล เป็นเกมที่ไม่ต้องแสดงพลังมากมายแต่ก็ให้ผลลัพธ์ยอดเยี่ยม

5. Xenoblade Chronicles 3

ต้องยอมรับว่าเป็นผลงานท้าทายความสามารถของทีมพัฒนาเพราะแม้จะมีข้อจำกัดเรื่องสเปคที่ภาคแรกก็เคยทำออกมาได้ดีมากๆ อยู่แล้ว แต่ภาคนี้ยังคงถ่ายทอดโลกโอเพนเวิลด์ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดในฉากขนาดใหญ่แบบไม่มีจุดน่าเบื่อ เท่านั้นไม่พอ Draw Distance ยังจัดได้ว่าน่าประทับใจและยังผสมผสานเอฟเฟกต์แสงและสีให้ภาพที่ชวนดื่มด่ำ กระนั้นแล้วน่าเสียดายเล็กน้อยที่เรื่องเงาของตัวละครไม่ได้เป็นไปตามเวลาในโลกของเกม

6. Paper Mario: The Origami King

จุดเด่นของเกมนี้คือกราฟิกที่ได้แรงบันดาลใจมาจากกระดาษพับของญี่ปุ่นที่ทำออกมาได้สวยงามและมีซีนการขยำกระดาษที่เป็นร่องรอยแบบคล้ายของจริงทั้งอนิเมชัน และการจำลองพื้นผิวกระดาษชนิดต่างๆ ผสมผสานกับระบบ Global Illumination ที่นำมาประกอบในฉากจนแทบจะเทียบได้กับ Tearaway บนเครื่องเล่น PlayStation อย่างไรก็ตามข้อจำกัดคือเรื่องของเฟรมเรตเพียงเท่านั้น

7. Super Mario Odyssey

เกมที่ถ่ายทอดรายละเอียดภายในฉากได้อย่างหลากหลายเพราะในเกมจะพบว่ามีไบโอมหลายสถานที่ และยังนำเสนอเกมเพลย์แบบสองมิติเข้ามาอยู่ในฉากสามมิติเช่นฉากที่เราจะต้องควบคุมตัวละคร Mario ในรูปแบบคลาสสิกด้วย โดยนอกจากนั้นแล้วยังให้ความสำคัญกับ Draw Distance ในฉากที่มีสเกลที่ใหญ่ขึ้นเช่นกัน ทั้งหมดนี้ทำได้ในเฟรมเรตแบบ 60FPS นิ่งๆ แต่ที่ Digital Foundry ชื่นชอบมากที่สุดคือการแก้ปัญหาในฉาก New Donk City ที่มีองค์ประกอบจำนวนมากแต่เกมก็ยังเล่นได้ลื่น วิธีนั้นคือการลดเฟรมเรตของตัวละครฉากหลังเมื่อมองจากไกลๆ นั่นเอง

8. Metroid Dread

ผลงานการร่วมมือจาก Mercury Steam ที่อยู่เบื้องหลังเกม Castlevania ภาค Lords of Shadow แต่ก็เคยมีภูมิปัญญาในการรีเมคเกมภาคสองบน Nintendo 3DS จนกลายเป็นแอ็กชันความเร็วสูงมาแล้ว โดยเกมนี้ถ่ายทอดกราฟิกเรื่องแสงและเงาที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นและต้องตื่นตัวตลอดเวลาในการหลบหนีศัตรูโดยเฉพาะเจ้า E.M.M.I. สุดโหด ซึ่งฉากที่น่าชื่นชมคือบรรยากาศในถ้ำและบริเวณแอ่งน้ำที่มีคลื่นน้ำและการเคลื่อนไหวที่สมจริง โดยเฉพาะเมื่อเล่นกับหน้าจอ Switch OLED

9. The Legend of Zelda: Link’s Awakening, The Legend of Zelda: BotW / TotK, Yoshi’s Crafted World และ ซีรีส์ Mario + Rabbids

เกมกลุ่มนี้ถูกจัดว่าเป็นเกมที่มีภาพสวยงามในระดับต้นๆ ของเครื่องแต่รวบรวมไว้ในหมู่เดียวกัน เริ่มจาก Zelda: Link’s Awakening ที่ให้ภาพแบบการ์ตูนคล้ายของเล่นพลาสติกที่มีเอกลักษณ์แต่ดันมีเฟรมเรตไม่ค่อยดีนักประสบการณ์จึงอาจจะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถัดมาคือ Zelda แบบโอเพนเวิลด์ที่ตีคู่กันมาโดยให้คำชมเรื่องการปรับกราฟิกมาเป็นเซลเฉดเต็มตัว เช่นเดียวกับฟิสิกส์ที่สมจริงและเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถลองทำอะไรแปลกในเกมได้

ตามมากับ Yoshi’s Crafted World ที่เป็นเกมที่มาพร้อมกับกราฟิกที่จำลองให้เหมือนกับงานคราฟต์แฮนด์เมดได้สวยงาม ใช้ Unreal Engine 4 ได้อย่างเต็มที่แต่มีข้อจำกัดเรื่องความละเอียดภาพที่ต่ำจนน่าใจหาย และปิดท้ายด้วยเกม Mario ภาคสปินออฟโดย Ubisoft ที่เล่นใหญ่ด้วยเอนจิ้น Snowdrop ระดับเดียวกับเกม The Division จึงให้คุณภาพโมเดลที่ดีมากๆ อย่างไรเสียภาคที่สองพวกเขามองว่างานภาพดูไม่ค่อยน่าชื่นชมเท่าภาคแรกด้วยมุมกล้องที่อิสระจึงทำให้ฉากการมองเห็นนั้นกว้างกว่า และด้วยเทคโนโลยีเครื่องจึงต้องลดคุณภาพโมเดลนิดหน่อย

10. Luigi’s Mansion 3

เกมที่ไม่ว่าสื่อไหนก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามีงานภาพที่สวยงามที่สุด รีดพลังจาก Nintendo Switch ได้จนแทบจะเกินความคุ้มค่าสเปคในกระดาษ เริ่มตั้งแต่ระบบแสงแบบเรียลไทม์ที่ประยุกต์เข้ากับระบบส่องไฟฉายของเกมที่ทำให้เงาตกกระทบนั้นสวยงามสมจริง เช่นเดียวกับ Ambient Occlusion ที่ใช้พลังของเครื่องมากรวมไปถึงเงาสะท้อนแบบ Full Geometric ซึ่งส่วนนี้แทบไม่มีเกมไหนที่กล้าใช้ แต่สำหรับ Luigi’s Mansion 3 ก็ใส่เข้ามา ท้ายที่สุดคือ Skin-shading ที่ทำให้โมเดลตัวละครสวยเหมือนกับงานอนิเมชันฟอร์มยักษ์นั่นเอง

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเกมจากเครื่องเล่น Nintendo Switch ที่พกความสามารถในการรันเกมด้วยภาพที่ยอดเยี่ยมผ่านการใช้เทคโนโลยีต่างๆ นั่นเอง โดยทุกเกมล้วนเป็นเกมที่สามารถหาซื้อได้แล้ว ดังนั้นอ่านจบปุ๊บก็หามาเล่นได้ทันที สำหรับเพื่อนๆ มีเกมไหนจะมาแนะนำอีก ว่าแล้วอย่าลืมมาแบ่งปันกับพวกเรา ThisIsGame Thailand ได้ และในอนาคตจะมีอะไรมาแบ่งปัน ขอเชิญติดตามที่นี่เพื่อไม่ให้พลาดทุกข่าวสารในวงการเกมก่อนใครครับ