เทคโนโลยี

AI ถูกโยงกับปัญหาทางสุขภาพจิดของผู้ใช้งาน

ภาพ AI บิดเบือนการรับรู้และกระตุ้นอาการป่วยทางจิต

นอกเหนือจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การเมือง และสังคมที่เราเคยได้ยินกันมาแล้ว ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ยังถูกเชื่อมโยงกับวิกฤตสุขภาพจิตที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยมีรายงานว่าผู้ใช้งานบางรายตกอยู่ในภาวะหลงผิดขั้นรุนแรงจนสูญเสียการแยกแยะโลกแห่งความเป็นจริง นำไปสู่การต้องเข้ารับการรักษาในสถาบันจิตเวชอย่างเร่งด่วน หรือในบางกรณีที่น่าสลดใจอาจถึงขั้นนำไปสู่การจบชีวิตตนเอง

หนึ่งในกรณีที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางคือ Caitlin Ner ซึ่งได้ออกมาถ่ายทอดประสบการณ์ส่วนตัวที่แสนเจ็บปวดผ่านบทความในนิตยสาร Newsweek โดยเธอเคยดำรงตำแหน่งสำคัญอย่างหัวหน้าฝ่ายประสบการณ์ผู้ใช้ของสตาร์ตอัปด้าน AI สร้างภาพ และยอมรับว่าหน้าที่การงานในขณะนั้นได้นำพาเธอเข้าสู่ภาวะวิกฤตทางจิตใจอย่างรุนแรง โดยมีเทคโนโลยี AI เป็นตัวกระตุ้นหลักที่เธอคาดไม่ถึง

Caitlin Ner เล่าว่าในช่วงต้นปี 2023 เธอต้องใช้เวลามากกว่า 9 ชั่วโมงต่อวันในการสั่งงานระบบ AI เพื่อสร้างภาพต่างๆ แม้ว่าภาพที่ระบบผลิตออกมาในระยะแรกจะยังมีจุดที่บิดเบี้ยวและดูผิดธรรมชาติไปบ้าง แต่ความแปลกใหม่เหล่านั้นกลับสร้างความรู้สึกมหัศจรรย์ใจให้กับเธออย่างมาก ก่อนที่ความตื่นเต้นในตอนเริ่มต้นจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอาการคลั่งไคล้และเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน

ai-psychosis-user

เธออธิบายเสริมว่าภาพเหล่านั้นเริ่มเข้ามาบิดเบือนการรับรู้เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของตัวเธอเอง และทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของสมองมากจนเกินไป แม้ว่าเทคโนโลยี AI จะได้รับการพัฒนาจนสามารถลดข้อผิดพลาดทางกายวิภาคลงได้ แต่สิ่งที่มาแทนที่กลับเป็นภาพบุคคลที่ดูผอมเพรียวและสมบูรณ์แบบเกินจริง จนส่งผลกระทบต่อจิตใจทำให้เธอเริ่มรู้สึกว่ารูปลักษณ์จริงๆ ของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ผิดพลาดและต้องได้รับการแก้ไขตามภาพในหน้าจอ

จุดเปลี่ยนสำคัญที่เกือบจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นเมื่อบริษัทมอบหมายให้เธอทดลองสร้างภาพ AI ของตัวเองในฐานะนางแบบแฟชั่น ซึ่งนั่นทำให้เธอเริ่มหมกมุ่นอยู่กับรูปลักษณ์ในอุดมคติจนนำไปสู่อาการนอนไม่หลับ เสพติดการสร้างภาพจาก AI และลามไปถึงการกระตุ้นอาการไบโพลาร์จนพัฒนาเป็นภาวะจิตหลอนอย่างหนัก เธอถึงขั้นปักใจเชื่อว่าตัวเองสามารถบินได้จริงๆ หลังจากที่เห็นภาพ AI ของตนเองขี่อยู่บนหลังม้าบิน และเกือบจะตัดสินใจกระโดดลงมาจากระเบียงเพื่อพิสูจน์ความเชื่อนั้น

ท้ายที่สุดแล้ว Caitlin Ner สามารถยับยั้งตัวเองไว้ได้ทันและรีบขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตช่วยให้เธอเข้าใจว่าการทำงานคลุกคลีกับ AI เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำคัญที่ทำให้อาการของเธอทรุดหนักลง จนเธอตัดสินใจลาออกจากสตาร์ตอัปแห่งนั้นและย้ายไปทำงานในบริษัทด้านการลงทุนเพื่อสุขภาพจิตอย่าง PsyMed Ventures พร้อมกับฝากข้อคิดเตือนใจว่า AI ยังคงเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่ามหาศาล หากผู้ใช้งานรู้จักใช้อย่างมีขอบเขตและตระหนักถึงผลกระทบต่อจิตใจอย่างจริงจัง

ที่มา
Futurism

Artherlus

แค่คนทั่วไปที่หลงใหลในวงการไอที
Back to top button