[รีวิว] Metroid Prime 4 Beyond นักล่าเส้นขอบฟ้า ผู้มาเหนือความคาดหมาย

หมายเหตุ: ตัวเกมที่ใช้ในการรีวิวไม่สามารถใช้งานการแสดงผลในรูปแบบ 120FPS ด้วยข้อจำกัดด้านอุปกรณ์ และประสบการณ์ที่ได้รับอาจมีความแตกต่างตามการใช้งานรูปแบบแสดงผลในแต่ละผู้ใช้

เป็นเวลาถึง 18 ปีเต็มที่ Metroid Prime ไม่ได้วางจำหน่ายภาคใหม่แถมยังจบกันแบบค้างคาด้วยการนำตัวร้ายจากภาคสปินออฟมาอยู่ในเกมคอนโซลครั้งแรก ซึ่งแฟนเกมก็ต่างคาดหวังว่าจะได้เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ จนกระทั่ง 10 ปีหลังจากเครื่องเล่น Wii ได้มีการโชว์ตัวอย่างครั้งแรก ก่อนจะหายไปนานจนทุกคนนึกว่าลืมกันไปแล้ว ทว่าวันนี้ทุกคนก็ได้เห็นความเป็นไปได้ครั้งใหม่… เพราะ Metroid Prime 4 Beyond กลับมาให้เราได้เล่นกันแล้ว

เริ่มเล่นได้ง่ายๆ ไม่ต้องอาศัยความรู้เบื้องต้น (แต่มีก็ดี)

เห็นตัวเลขต่อท้ายภาคแบบนี้ผู้เล่นบางส่วนโดยเฉพาะหน้าใหม่อาจจะกังวลอยู่เหมือนกันครับว่าเป็นภาคต่อที่จำเป็นต้องมีความรู้กับเกมในเบื้องต้นหรือไม่ อย่างไรก็ตามถึงภาคนี้จะหยิบเอาส่วนที่ค้างคาจุดหนึ่งของภาคสามมาต่อยอด แต่เซ็ตติ้งฉากหลังไม่ได้ผูกกับไตรภาคชุดก่อนหน้าเท่าไรนัก สถานที่ก็ใหม่ ตัวละครหลักก็เป็นเซ็ตเกือบใหม่ทั้งหมด เลยทำความเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายและรวดเร็วครับ

หากเป็นไปได้บางคนอาจศึกษาเนื้อหามาบ้างก็จะยิ่งช่วยให้เข้าใจตัวละครมากขึ้น เช่นที่มาของ Sylux ที่เป็นคู่ปรับในภาคนี้ แต่ถ้าไม่ได้มีเวลามากนักไม่ต้องห่วงไปเพราะเกมจะนำเสนอตัวละครนี้ใหม่ตั้งแต่ต้นให้อยู่ดี เรามีหน้าที่เดินไปตามเส้นทางของตัวเอก Samus ก็เพียงพอครับ และดูเหมือนในช่วงหลัง ทั้งภาค Dread และภาคนี้เองก็พยายามทำเรื่องราวให้มันเป็นสิ่งที่จบในตอนและหยิบมาเล่นได้ง่ายมากขึ้นครับ

Metroid Prime 4 Beyond ยังมีเกมเพลย์พื้นฐานที่คงอยู่ครบ

ตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมาถึงตอนนี้ Metroid Prime ยังเป็นซีรีส์แยกที่ถ่ายทอดเรื่องราวของ Samus ในรูปแบบมุมกล้องบุคคลที่หนึ่งเช่นเดิม และถึงแม้เราจะมีอาวุธติดตัวเป็นปืนลำแสงพลังงาน มันก็ไม่ได้ถือเป็นชูตติ้งเต็มตัวนะครับ หากพูดว่าเป็นเกมผจญภัยแบบบุคคลที่หนึ่งดูจะเข้ากับเกมนี้มากกว่า ปืนนั้นสำคัญ ทว่ามันคือส่วนหนึ่งที่ทำให้เราผ่านเรื่องราวและฉากเท่านั้น แต่เกมจะให้ความสำคัญกับการใช้กึ๋น ใช้สกิลติดตัวมากกว่า มีช่วงที่แอ็กชันหนักแบบยิงกระจายอยู่บ้างเช่นฉากเริ่มต้น

โลกในเกมก็ไม่ได้เป็นเส้นตรง แต่เป็นเหมือนฉากขนาดใหญ่ พร้อมบางส่วนที่เป็นกึ่งโอเพนเวิลด์ (ทะเลทรายที่เราได้แว๊น) ให้สำรวจ ซึ่งถ้าให้เทียบ จะมีความรู้สึกแบบ Zelda: Ocarina of Time ที่พื้นที่มันมีเส้นทางเชื่อมกันแต่คราวนี้เราจะเห็นเป็นมุมกล้องแบบเกม​ Halo หรือ Half-life ครับ เกมเน้นย้ำให้เราสลับโหมดไปสู่ระบบสแกนที่ใช้เพื่อหาเบาะแส หาข้อมูลศัตรู หรือคำบอกใบ้ เช่นเดียวกับทักษะแพลตฟอร์เมอร์อย่างการกระโดดข้ามอุปสรรค แท่นลอยฟ้า หินผา ผสานกับระบบพลังจิต ส่วน Morph Ball แน่นอนว่ากลับมาเหมือนเดิม

พอเราเรียกว่าเป็นเกมผจญภัยที่ค่อนไปทาง Zelda แนวไซไฟแล้ว การต่อสู้กับบอสก็ประยุกต์ความสามารถของเรามากกว่าที่จะยิงๆๆ ให้ศัตรูพลังหมดเกจ มันจะมีเทคนิคในการเผชิญหน้าที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นเสน่ห์ของเกมตั้งแต่ Prime ภาคแรก ที่ทำให้เกมมีความตึงมือ ยิ่งมีพลังเจได (แซวนิดนึง…) เข้ามา ยิ่งช่วยเพิ่มมิติให้เต็มอิ่มมากขึ้น ถึงบางเทคนิคจะดูไม่น่าเป็นไปได้เลย เช่นการบังคับวิถีกระสุน ฉันใดก็ฉันนั้นมันล้วนมีที่มาและการอธิบายให้เข้ากับเนื้อเรื่องในที่สุดล่ะนะ

เหนือความคาดหมายกับความสดใหม่ที่จัดเต็ม

แม้ว่า Metroid Prime 4 Beyond จะเป็นเกมที่มีระบบพื้นฐานแบบเดียวกันกับเกมทั้งสามภาคก่อนหน้า แต่การกลับมาครั้งนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับในรอบเกือบ 20 ปี ไม่น่าแปลกใจนักที่ Nintendo จะให้ความสำคัญกับความสดใหม่ที่จัดเต็มมากขึ้นเป็นพิเศษ อย่างแรกก็คือความสามารถของ Samus แบบใหม่ที่เป็นการใช้พลังจิตเช่นการย้ายสิ่งของระยะไกลที่ช่วยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปริศนา หรือจะเป็นแส้พลังจิตที่ใช้ปีนป่ายได้ ของเหล่านี้ไม่ได้มีเท่ๆ แต่ว่าเป็นความจำเป็นที่จะต้องใช้เพื่อผ่านเส้นทางที่อาจจะเส้นผมบังภูเขา และบางครั้งเราต้องวิ่งกลับมาจุดบางจุดเพื่อใช้ของเหล่านี้ในการเปิดทางลัดใหม่ๆ ได้

องค์ประกอบดังกล่าว ในแง่กิมมิคแล้วมันก็เหมือนกับ Metroid ทั่วไปที่ปลุกเร้าให้เราใช้งานความสามารถหรือทักษะต่างๆ อย่างเต็มที่แบบในเกมภาค Dread หรือภาคสองมิติเก่าๆ แต่ในภาค Prime เมื่อเราได้เห็นสภาพแวดล้อมตรงหน้าที่ถูกแปรปรวนด้วยมือของเราผ่านสายตาของ Samus มันดีขึ้นมาก แถมเมื่อเกมได้ถ่ายทอดผ่านกราฟิกคุณภาพสูงมันก็เลยดูยิ่งใหญ่กว่าภาคเก่าๆ อย่างเห็นได้ชัด เพราะเราก็ไม่ได้เล่นภาค Prime มานาน ถ้าไม่รวมภาครีมาสเตอร์

อีกหนึ่งสิ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามาก็คือเรื่องของมอเตอร์ไซค์ ซึ่งหลายคนน่าจะคาดหวังเป็นพิเศษหลังจากได้เห็นคลิปเปิดตัวเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเปิดตัวเกมนี้เอง! ตรงนี้ผมว่ามันคือความเท่เฉยๆ จริงๆ เสียแล้วครับ เพราะโลกกว้างภายนอกมันโล๊งโล่ง แต่มันให้ความรู้สึกของคำว่า Beyond ตรงที่มันมีเซนส์ของการผจญภัยค่อนข้างชัด อะไรที่เรามองเห็นในฉาก เราสามารถขับไปดูได้จริงๆ และนอกจากนั้นแล้วมันก็มีพวก Shrine หรือวิหารลับในฉากทะเลทรายกว้างๆ นี้ด้วยนะ คิดภาพเหมือน The Legend of Zelda สองภาคฟอร์มยักษ์ที่ผ่านมาครับ คือทำก็ได้ ไม่ทำก็ไม่เป็นไร แต่มันจะพลาดพวกอัปเกรดดีๆ บางอย่างไป ช่างน้ำหนักเอาเอง

ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ จะรู้สึกอย่างไรกับส่วนนี้ แต่ผมว่ามันทำมาได้ดีในระดับหนึ่งและเสริมกับ Narrative ของเรื่องได้ นั่นคือระหว่างการเดินทาง มันจะมีจุดที่ Samus ต้องผจญภัยร่วมกับมนุษย์จริงๆ ด้วย เป็นสิ่งที่ไม่เห็นมาตั้งแต่ภาค The Other M และเป็นครั้งแรกในภาค Prime ซึ่งโคตรรู้สึกเหมือน Halo เลย คือทุกคนพูดกันตลอดเวลา (ฮา) บางทีอาจน่ารำคาญบ้าง แต่มันก็ทำให้เรารู้ปูมหลังของตัวละครครับ ท้ายที่สุดสิ่งที่หงุดหงิดของเกมในแง่ฟีเจอร์ใหม่คือ amiibo ที่บางฟีเจอร์มันดันบังคับใช้หุ่นพวกนี้เพื่อสแกนแบบงงๆ

Nintendo Switch 2 อัปเกรดที่เหนือยิ่งกว่าทุกมุม

การอัปเกรดของ Nintendo Switch 2 Edition หากเทียบกับเกมปรับโฉมก่อนหน้าอย่าง Super Mario Party Jamboree และ Kirby and the Forgotten Lands เราจะไม่ได้เห็นฟีเจอร์ใหม่อะไรเลย ‘สักอย่าง’ นะครับ แต่ Nintendo จะมายกระดับประสบการณ์ให้กับเราในเรื่องของกราฟิกและเฟรมเรตเพื่อการแสดงผลแทน โดยความละเอียดตามหน้ากระดาษคือ 4K แต่สำหรับคนใช้หน้าจอโทรทัศน์ระดับ 1080p ประโยชน์ที่เราได้รับชัดๆ คือเท็กซ์เจอร์ที่ดีขึ้นและการประมวลผลกราฟิกเรื่องเอฟเฟกต์แสงและเงากับโมเดลของประกอบฉากที่โผล่เข้ามา (หรือถ้าอยากเล่น 120fps จริงๆ ก็เล่นจอพกพาได้ แต่ลดไปเป็น 720p)

นอกจากนั้นแล้วเกมจะบูสต์เฟรมเรตจาก 60FPS ซึ่งปกติในรุ่น Switch 1 ผมก็ไม่เห็นความกระตุกงอแงอะไร ให้สามารถใช้งานถึง 120FPS ได้แล้วพร้อมลดหลั่นกับความละเอียดที่จะเหลือ 1080p ส่วนตัวผมใช้จอยเป็นหลักเลย 60FPS สบายๆ และท้ายที่สุดคือเสริมความเป็น Halo ไปอีกขั้นด้วยการบังคับผ่าน Joy-con ในโหมดเมาส์ อันนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยตอบสนองได้ดีเท่าไรครับ และสรีระการจับเองก็แปลก ถามว่ามีมาดีไหมก็ดี กระนั้นไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น ลางเนื้อชอบลางยาครับ คุณผู้อ่านอาจจะชอบก็ได้

กราฟิกและเพลงประกอบ

ปฏิเสธไม่ได้ครับว่า Metroid Prime 4 Beyond คือเกมที่ภาพสวยงามที่สุดเกมหนึ่งบน Switch 1 และเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมากๆ บน Switch 2 เช่นเดียวกับเพลงประกอบที่ยังจัดเต็มเหมือนดูภาพยนตร์ไซไฟฟอร์มยักษ์ รวมไปถึงเสียงของกระสุนพลังงานจากปืน Samus ที่ตอบสนองกับมุมกล้อง ตำแหน่งได้สมจริง ซึ่งมันอาจเป็นที่สุดของ Switch รุ่นมาตรฐานแล้วก็ได้ แต่ขณะเดียวกันมองอีกมุมผมคิดว่า Nintendo ยังช่วยเปิดโอกาสให้ผู้พัฒนาเจ้าอื่นรู้ว่าเครื่องเล่นรุ่นจิ๋วนี้ยังพร้อมที่จะไปต่อ

บทสรุป

แม้เป็นเกมที่รอมาหลายปี แต่ Metroid Prime 4 Beyond ไม่ได้พาความรู้สึกเก่าๆ กลับมาอีกครั้ง ผมมองว่านี่คือการนำเสนอประสบการณ์ที่หาได้ยากของ Nintendo อย่างเกมผจญภัยที่เป็นมุมกล้องบุคคลที่หนึ่ง (พร้อมกับการยิงปืน) แม้โทนเนื้อเรื่องที่ถึงแม้จะไม่ได้ดาร์กดิบเท่าภาค Fusion และ Dread เราก็รู้สึกมันส์ ตื่นเต้น ระทึกไปด้วยกันกับสาวนักล่าค่าหัวคนนี้ได้ ที่สำคัญที่สุดมันคือการปักหมุดหมายว่า Metroid พร้อมที่จะเป็นแถวหน้าให้กับค่ายร่วมกับไลน์อัปอื่นๆ ของเครือในฐานะของเกมที่สดใหม่กว่าที่เคย

สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจสามารถหาซื้อ Metroid Prime 4 Beyond ได้แล้วทาง Nintendo Switch 2 และรุ่นแรกไม่ว่าจะเป็นรูปแบบตลับหรือดิจิทัลดาวน์โหลดผ่าน eShop โซนประเทศไทย ถือว่าเป็นเกมใหญ่ส่งท้ายปีที่ทุกคน ไปจนถึงสายแอ็กชันก็ไม่ควรพลาดเลยครับ สำหรับโอกาสหน้า ThisIsGame Thailand จะมีอะไรมาแบ่งปันอย่าลืมติดตามที่นี่เพื่ออัปเดตข่าวสารในวงการเกมก่อนใครเช่นเคย