รีวิวเทคโนโลยี

[รีวิว] Intel Core Ultra 9 285K และ Core Ultra 5 245K

เจาะลึก Intel Core Ultra Arrow Lake-S

วันนี้เราจะมาคุยกันถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในวงการซีพียู กับการมาถึงของซีพียูพีซีเจเนอเรชันใหม่จาก Intel ที่ไม่ได้ใช้ชื่อ Core i ที่เราคุ้นเคยกันอีกต่อไป แต่มาในชื่อใหม่แกะกล่องว่า Core Ultra พร้อมสถาปัตยกรรมที่ถูกยกเครื่องใหม่ทั้งหมดในโค้ดเนม Arrow Lake-S

เราจะพาไปผ่าพิสูจน์ซีพียูสองรุ่นเด่นอย่าง Intel Core Ultra 9 285K และ Intel Core Ultra 5 245K แบบหมดเปลือก ตั้งแต่สถาปัตยกรรมใหม่ ไปจนถึงผลทดสอบการเล่นเกมและทำงาน ถ้าพร้อมแล้วไปลุยกันเลย

Intel Core Ultra กับการยกเครื่องสถาปัตยกรรมครั้งใหญ่

การมาถึงของ Intel Core Ultra สำหรับพีซีไม่ใช่แค่การเปลี่ยนชื่อเรียกจาก Core i ที่อยู่คู่กับเรามานานกว่าทศวรรษ แต่มันคือการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและปรัชญาในการออกแบบซีพียูของ Intel อย่างสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่แค่การปรับเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เป็นการรื้อแล้วสร้างใหม่โดยนำเทคโนโลยีที่เปิดตัวไปก่อนหน้าในแพลตฟอร์มโน้ตบุ๊กอย่าง Meteor Lake มาปรับใช้กับพีซีอย่างเต็มรูปแบบ  

tig-intel-core-ultra-200-review

หัวใจสำคัญของ Arrow Lake-S คือสถาปัตยกรรมแบบ Tile-based หรือที่หลายคนอาจคุ้นในชื่อ Chiplet ซึ่งเป็นแนวทางที่คู่แข่งใช้มานานและประสบความสำเร็จอย่างสูง การออกแบบลักษณะนี้เปรียบเสมือนการนำชิ้นส่วนย่อยที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมาประกอบกันเป็นซีพียูหนึ่งตัว ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพ การจัดการความร้อน และการใช้พลังงาน

tig-intel-core-ultra-200-review

เพื่อให้เข้าใจถึงประสิทธิภาพของ Arrow Lake-S เราต้องมาทำความรู้จักกับโครงสร้างพื้นฐานที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงกันก่อน

ซีพียู Core Ultra ไม่ได้เป็นแผ่น Monolithic อีกต่อไป แต่เป็นแบบ Multi-Chip Module (MCM) ที่ประกอบด้วย Tile หลายตัววางอยู่บนแผ่นซิลิคอนตัวกลางที่เรียกว่า Foveros base tile ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน Tile หลักประกอบด้วย:  

  • Compute Tile: หัวใจหลัก ประกอบด้วยซีพียู Cores ทั้งหมด ผลิตบนโหนดกระบวนการผลิต N3B
  • SoC Tile: ทำหน้าที่ควบคุมส่วนต่าง ๆ เช่น Memory Controller (DDR5), PCI-Express และที่สำคัญคือมีหน่วยประมวลผล AI หรือ NPU อยู่ในส่วนนี้ด้วย ผลิตบนโหนด N6  
  • Graphics Tile: ประมวลผลกราฟิกภายใน (iGPU) ที่ได้รับการอัปเกรดครั้งใหญ่เป็นสถาปัตยกรรม Xe-LPG ผลิตบนโหนด N5P  
  • I/O Tile: จัดการการเชื่อมต่อต่าง ๆ เช่น Thunderbolt 4
tig-intel-core-ultra-200-review

นอกจากนี้ Intel ยังได้ปรับเปลี่ยนการวางตำแหน่งของ P-Cores และ E-Core Clusters บน Compute Tile โดยวางสลับกันไปมาแทนที่จะแยกกันอยู่คนละฝั่งเหมือนใน Raptor Lake เพื่อช่วยกระจายความร้อนให้ดีขึ้นและลด Latency ในการสื่อสารระหว่างคอร์

Arrow Lake-S มาพร้อมกับสถาปัตยกรรมคอร์ใหม่ทั้งหมด 2 แบบ:

  • Lion Cove P-cores (Performance-cores): เป็นคอร์หลักสำหรับงานหนักและการเล่นเกม Intel เคลมว่ามี IPC เพิ่มขึ้นจาก Raptor Cove ถึง 9% และมี L2 Cache ขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 3MB ต่อคอร์  
  • Skymont E-cores (Efficient-cores): เป็นคอร์ประหยัดพลังงานที่ถูกยกเครื่องใหม่ โดยมี IPC เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนถึง 32% ทำให้ E-cores รุ่นใหม่นี้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ P-cores รุ่นเก่า ๆ เหมาะสำหรับจัดการงานเบื้องหลังและงานที่ต้องการหลายเธรดพร้อมกัน
tig-intel-core-ultra-200-review

การเปลี่ยนแปลงที่สนใจและส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพมากที่สุด คือการที่ Intel ตัดสินใจถอดเทคโนโลยี Simultaneous Multi-Threading (SMT) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Hyper-Threading ออกจาก Lion Cove P-cores ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปีที่ซีพียูพีซีระดับไฮเอนด์ของ Intel ไม่มีฟีเจอร์นี้  

ผลกระทบโดยตรงคือ P-core แต่ละตัวจะทำงานได้เพียง 1 เธรดเท่านั้น ทำให้ Core Ultra 9 285K ที่มี 24 คอร์ (8 P-cores + 16 E-cores) จะมีเพียง 24 เธรด ในขณะที่ Core i9-14900K รุ่นก่อนหน้ามี 24 คอร์ (8 P-cores + 16 E-cores) แต่มีถึง 32 เธรด  

การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของ Intel โดยมองว่าการเพิ่มจำนวน E-cores ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก จะสามารถชดเชยจำนวนเธรดที่หายไปในงาน Multi-tasking ได้ดีกว่าการคง Hyper-Threading ไว้ ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนและขนาดของ P-core ลงได้

อย่างไรก็ตาม สำหรับการเล่นเกมที่ต้องการเฟรมเรตสูง ๆ ซึ่งอ่อนไหวต่อ Latency และประสิทธิภาพของ Single-thread มาก การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นความเสี่ยงสูง และจากผลทดสอบเบื้องต้นก็ดูเหมือนว่าการเดิมพันครั้งนี้อาจยังไม่ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการเล่นเกมเท่าที่ควร

tig-intel-core-ultra-200-review

อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของ Core Ultra คือการนำหน่วยประมวลผล AI โดยเฉพาะที่เรียกว่า NPU (Neural Processing Unit) ภายใต้ชื่อ Intel AI Boost มาใส่ไว้ในซีพียูพีซีเป็นครั้งแรก แม้ว่าปัจจุบันความสามารถ 13 TOPS ของมันจะยังไม่ถึงเกณฑ์ 40 TOPS ที่ Microsoft กำหนดสำหรับฟีเจอร์ Copilot+ แต่ก็ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการนำ PC เข้าสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว  

ในส่วนของกราฟิกออนบอร์ด (iGPU) ก็ได้รับการอัปเกรดครั้งใหญ่เป็นสถาปัตยกรรม Xe-LPG ซึ่งให้ประสิทธิภาพดีขึ้นกว่า UHD 770 ใน Raptor Lake ถึง 100% หรือมากกว่านั้น ทำให้สามารถใช้เล่นเกมที่ไม่กินสเปกมากนักที่ความละเอียด 1080p ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการ์ดจอแยก

Intel Core Ultra 9 285K เรือธงรุ่นใหม่

มาดูกันที่รุ่นเรือธงอย่าง Core Ultra 9 285K ว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้วจะเป็นอย่างไร

คุณสมบัติIntel Core Ultra 9 285KIntel Core i9-14900KAMD Ryzen 9 9950X
สถาปัตยกรรมArrow Lake-SRaptor Lake RefreshZen 5
จำนวนคอร์ (P+E)24 (8+16)24 (8+16)16
จำนวนเธรด243232
Boost Clock (สูงสุด)5.7 GHz6.0 GHz5.7 GHz
L3 Cache36 MB36 MB64 MB
กราฟิกออนบอร์ดIntel Graphics (Xe-LPG)Intel UHD Graphics 770AMD Radeon Graphics
TDP (Processor Base Power)125 W125 W170 W
ราคา20,900 บาท16,900 บาท21,100 บาท

ผลการทดสอบที่ออกมาสำหรับ Core Ultra 9 285K มีประสิทธิภาพในการเล่นเกมโดยเฉลี่ยเหนือกว่า Core i9-14900K อยู่สูงสุด 15% จากการทดสอบแบบที่ค่อนข้างใช้สเปกและการประมวลผลอย่าง Starfield ซึ่งแน่นอนว่าผลลัพธ์ในส่วนนี้จะแตกต่างกันไปตามสเปกที่ใช้งาน และสำคัญที่สุดยังหนีไม่พ้นการ์ดจอ

tig-intel-core-ultra-200-review

ในโปรแกรมทดสอบอย่าง Cinebench และ Geekbench 6 เจ้า Core Ultra 9 285K สามารถทำคะแนน Multi-core ได้สูงกว่า 14900K ประมาณ 12%

tig-intel-core-ultra-200-review

จุดที่ดีที่สุดของ Arrow Lake-S คือการจัดการพลังงานและความร้อน Intel ได้เปลี่ยนปรัชญาจากการอัดไฟเพื่อประสิทธิภาพ ที่เห็นใน Gen 13 และ 14 มาเป็นการเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์อย่างจริงจัง ผลลัพธ์คือ ระหว่างการเล่นเกม Core Ultra 9 285K ใช้พลังงานเฉลี่ยเพียงประมาณ 77W เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่า 14900K ถึง 36% การใช้พลังงานที่ลดลงนี้ส่งผลโดยตรงต่ออุณหภูมิที่เย็นลงอย่างเห็นได้ชัด

โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยขณะเล่นเกมอยู่ที่ 48°C เทียบกับ 60°C ของ 14900K นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมาก เพราะมันหมายความว่าไม่จำเป็นต้องลงทุนกับชุดระบายความร้อนระดับท็อปราคาแพงอีกต่อไป

Intel Core Ultra 5 245K คำตอบสำหรับตลาดหลัก

สำหรับเกมเมอร์ส่วนใหญ่ ซีพียูในระดับกลางอย่าง Core Ultra 5 245K คือรุ่นที่น่าจับตามองที่สุด

คุณสมบัติIntel Core Ultra 5 245KIntel Core i5-14600KAMD Ryzen 5 9600X
สถาปัตยกรรมArrow Lake-SRaptor Lake RefreshZen 5
จำนวนคอร์ (P+E)14 (6+8)14 (6+8)6
จำนวนเธรด142012
Boost Clock (สูงสุด)5.2 GHz5.3 GHz5.4 GHz
L3 Cache24 MB24 MB32 MB
TDP (Processor Base Power)125 W125 W105 W
ราคา9,490 บาท8,890 บาท8,990 บาท

Core Ultra 5 245K ให้ผลลัพธ์ที่ออกมาคล้ายกับรุ่นพี่ โดยมีประสิทธิภาพดีขึ้นเฉลี่ยสูงสุดราว 13% เมื่อเทียบกับ i5-14600K

tig-intel-core-ultra-200-review
tig-intel-core-ultra-200-review

ในด้านการทำงาน 245K ทำผลงานได้อย่างน่าสนใจ สามารถเอาชนะ 14600K ในงาน Multi-core ส่วนใหญ่ได้ และทิ้งห่างในงานอย่าง Blender หรือ Handbrake ไปไกล จุดเด่นที่สุดคือการใช้พลังงานที่ต่ำมาก

โดยในการทดสอบเล่นเกม Baldur’s Gate 3 245K ใช้ไฟเพียง 83W ซึ่งน้อยกว่า 14600K ถึง 46% นี่คือประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่ยอดเยี่ยมอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในซีพียูระดับกลางของ Intel

บทสรุป Arrow Lake-S คุ้มไหมสำหรับเกมเมอร์

สำหรับ เกมเมอร์ ที่ต้องการเฟรมเรตสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ Arrow Lake-S เป็นหนึ่งในคำตอบที่น่าสนใจในตลาดตอนนี้ ถ้าใครที่ใช้รุ่นเก่าและต้องการความทันสมัยที่มาพร้อมกับความสามารถในการใช้งาน AI นี่เป็นตัวเลือกที่ควรพิจารณาไว้ในตัวเลือกอย่างแน่นอน

tig-intel-core-ultra-200-review

สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปที่ใช้คอมพิวเตอร์ทำงานหนัก ๆ เช่น ตัดต่อวิดีโอ, เรนเดอร์ 3D, หรือสตรีมมิ่ง Core Ultra 9 285K และ Ultra 5 245K คือตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ด้วยประสิทธิภาพ Multi-core ที่ยอดเยี่ยม การจัดการพลังงานและความร้อนที่ดี ทำให้มันเป็นซีพียูรอบด้านที่สมบูรณ์แบบสำหรับยุคใหม่ ที่ความแรงไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขเฟรมเรตสูงสุดเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป  

Core Ultra 200 Arrow Lake-S คือซีพียูเปลี่ยนผ่านที่แสดงให้เห็นทิศทางในอนาคตของ Intel ที่มุ่งเน้นไปที่ AI และประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่หาตัวจับได้ยาก

Artherlus

แค่คนทั่วไปที่หลงใหลในวงการไอที
Back to top button