[รีวิว] Super Mario Party Jamboree เกมมาริโอ้ปาร์ตี้ภาคใหม่รูปแบบบิ๊กเบิ้ม!

การพลิกโฉมของซีรีส์ Mario Party ในภาค Super เมื่อหลายปีก่อน ได้ทำให้ชื่อเสียงของเกมที่เคยโดนมองว่ามันถึงจุดอิ่มตัว (แถมภาคหลังๆ ดันเฟลอีก) ได้กลับมาเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ย่อยที่สร้างรายได้ถล่มทลายอีกครั้งเพราะ Nintendo ได้เลือกนำเอาเกมเพลย์แบบบอร์ดเกมเน้นการฟาดฟันมาใช้งานแทนการเดินกระดานไปพร้อมกันในภาค 9 – 10 กลับมาใช้งานใหม่ แต่เพิ่มเติมด้วยไอเดียเด็ดๆ ที่ออกแบบเพื่อประสบการณ์ Nintendo Switch โดยเฉพาะ ทั้งนี้หลายคนก็อดเสียดายโอกาสไม่ได้ที่ภาคนั้นดันบังคับใช้งาน Motion Control เต็มตัว จึงมีภาค Superstars ที่เน้นการเล่นแบบปุ่มกดมาสานต่อ

และแล้วก็ถึงคราวที่จะต้องส่งไม้ต่อให้กับ Super Mario Party Jamboree เกมปาร์ตี้ภาคใหม่ล่าสุดที่นำเอาส่วนดีของเกมปาร์ตี้ของทุกๆ ภาคเข้ามาอยู่ในภาคเดียวกันกลายเป็นการฉลองความสนุกครั้งยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะสายปุ่มกด หรือสาย Motion ก็เล่นได้ ซึ่งวันนี้พวกเรา ThisIsGame Thailand ก็ไม่พลาดที่จะนำความประทับใจมาแบ่งปันในรีวิวนี้กันแล้วด้วย แต่จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นมาติดตามกันข้างล่างนี้เลย

นำเสนอแปลกใหม่

จากใจคนที่ไม่เคยเล่น Super Mario Party หรือภาคหลักล่าสุดของ Switch ที่ไม่รวมภาค Superstars ผมคิดว่า DNA ของความเป็น Mario Party ยังคงเด่นชัดนั่นคือการที่ผู้เล่นสามารถเข้าถึงโหมดหลักๆ ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราแกะตลับออกจากกล่องพร้อมเปิดเกม ความแตกต่างคือโปรไฟล์ของตัวเองจะถูกบังคับสร้างตั้งแต่เริ่มพร้อมให้เลือกตัวละครประจำตัว (แต่สามารถเปลี่ยนได้) แตกต่างจากเกมภาคเก่าๆ ที่เราจะเข้าโหมดต่างๆ แล้วถึงเลือกตัวละคร อันนี้กลายเป็นเหมือนว่าเราได้สวมบทบาทตัวละครนั้นๆ ไปเลย

ด้วยความชอบตัวละครเจ้าไดโนเสาร์เขียวอยู่แล้ว ผมก็เลยเลือก Yoshi จากนั้นก็สามารถเดินไปมาในแผนที่ Hub หลักขนาดย่อมๆ หรือขึ้นบอลลูนเพื่อไปยังเกาะต่างๆ (ที่แทนการเล่นด้วยโหมด) มีทั้งโหมดปาร์ตี้ที่เป็นโหมดเกมกระดานหลักๆ, โหมดสำหรับการเล่น Motion Control โดยเฉพาะ, Bowser Challenges โหมด PvE สู้กับบอสคุปป้าตัวยักษ์ และ Koopathlon แข่งมินิเกมแบบซีรีส์เป็นยก และโหมดเล่นคนเดียว! ส่วนใครที่อยากเล่นมินิเกมแบบอิสระ ก็เพียงแค่ปลดล็อกจากโหมดกระดานเรื่อยๆ ก็จะมีเกมให้เล่นขึ้นมาเองครับ คือความซิมเปิ้ลที่เคยเป็นเมนูให้เลือกจิ้มได้กลายเป็นเหมือนกับการผจญภัยแล้ว

คนเดียวก็เฟี้ยวใน Super Mario Party Jamboree ได้นะ

โหมดที่ผมรู้สึกชื่นชอบและอยากให้ความสำคัญมากที่สุดคือ Party-Planner Trek ซึ่งเป็นการเล่นคนเดียว โดยปกติแล้วเราแทบจะไม่ค่อยเห็นโหมดเล่นคนเดียวสักเท่าไรเพราะภาคเก่าๆ รวมไปถึงภาคที่เป็นเลขกำกับลำดับ จะโฟกัสที่การเล่นแบบมัลติเพลเยอร์ในตัวกระดานปาร์ตี้ หรืออย่างน้อยที่สุดผู้เล่นสายโซโล่ก็จะต้องเล่นกับ AI เหงาๆ แต่สำหรับโหมดนี้จะเป็นการเดินทางของตัวละครที่เลือก

นอกจากนั้นแล้ว อีกหนึ่งส่วนที่เพิ่มเข้ามาเพื่อการเล่นรูปแบบคนเดียวให้ไม่เหงาไปอีกคือระบบ Jamboree Buddies ที่เราสามารถเดินทางไปพร้อมกับตัวละครต่างๆ ระหว่างทางได้ เมื่อเรามีคู่หูปุ๊บพอเดินไปตกช่องไหนก็จะได้ผลลัพธ์คูณสอง เช่นเงินเพิ่มคูณสอง… หรือซวยโดนหักคูณสอง (ฮา) แถมพวกเขาจะมี Perk เฉพาะตัวอีกต่างหาก จุดนี้ทำให้การเล่นมีความพิเศษมากยิ่งขึ้น เป็นประสบการณ์ใหม่ที่เพิ่มแง่ด้านกลยุทธ์เข้ามา เพราะถ้าศัตรูของเราดันวิ่งผ่านก็จะทำให้ชิงตัวคู่หูไปได้ และตัว Jamboree Buddies ยังมีให้ใช้งานในรูปแบบกระดานในโหมดอิสระด้วย

เกมหลากหลายไม่น่าเบื่อ และยังเป็นปาร์ตี้ชวนมันส์

Super Mario Party Jamboree ได้กลบจุดด้อยของภาคก่อนหน้าอย่างการบังคับใช้งานระบบ Motion Control เพียงอย่างเดียว ให้ทุกคนสามารถเล่นได้ด้วยจอยธรรมดาเช่นกัน แต่กระนั้นด้วยความที่เกมภาคนี้อยู่ในซีรีส์ตัว Super ก็ทำให้อารมณ์และบรรยากาศแบบของเดิมยังคงมีอยู่ เพียงแค่ลดบทบาทไปเป็นโหมดแยกคือ Motion Island อย่างที่กล่าวกัน ซึ่งผมก็คิดว่าน่าจะเป็นการต่อยอดจากความสำเร็จของภาค Superstars และยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้จัก Mario Party ตั้งแต่ยุคคลาสสิกที่ยังใช้ปุ่มกดด้วย

และโหมดแม่เหล็กของ Super Mario Party Jamboree ก็ต้องเป็นเกมกระดานสุดคลาสสิกที่เราสามารถเลือกตัวละครเพื่อมาเล่นเกมเศรษฐีเก็บเหรียญ เก็บดาว เล่นมินิเกมชนะให้ได้มากที่สุดเพื่อเป็นผู้ชนะ โดยสามารถกำหนดเทิร์นและความยากง่ายในการสู้กับ AI อย่างอิสระ แต่ถ้าจะให้สนุกก็แน่นอนว่าต้องเล่นกับผองเพื่อนอยู่แล้ว โดยกระดานแต่ละแบบจะมีกิมมิคที่ไม่เหมือนกัน พร้อมเพิ่มจุดหัวร้อนเช่นการสุ่มเจออีเวนต์บังคับให้เหรียญฝ่ายตรงข้าม ความดีงามอีกหนึ่งอย่างคือเกมยังมีการรีมาสเตอร์กระดานจากภาคดั้งเดิมมาให้เล่นด้วยอีกสองด่านที่สามารถปลดล็อกได้ภายหลัง ส่วนไอเทมใหม่ๆ นั้นก็สร้างสีสันได้ดี แต่ไม่ได้คิดว่ามันว้าวขนาดนั้น เพราะความสนุกคือเหตุการณ์ที่เดาไม่ได้ของแต่ละแมตช์มากกว่า

ถัดมากับส่วนของ Motion ก็จะมีทั้งมินิเกมบนกระดาน และโหมดการเล่นเต็มตัวเหมือนเดิมด้วย (เพียงแค่สเกลเล็กลง) จากภาคที่แล้วที่หลายคนอาจจะเคยเล่นเกมพายแพกัน คราวนี้ Super Mario Party Jamboree ได้นำเสนอโหมดใหม่คือการ Paratroopa Flight School ที่เราจะต้องสวมปีกแล้วทำท่ากระพือปีกไปมา และ Rhythm Kitchen ที่มาคล้ายกับภาคที่แล้วโดยจะทำการเคาะจังหวะสลับกับเล่นมินิเกมสะสมคะแนน แต่ที่ผมชอบที่สุดคือ Bowser Kaboom Squad ที่เป็นเหมือนกับไฮไลต์ของภาคนี้เลย เกมคือแนว PvE รองรับทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ให้เรารวมพลังกับเพื่อนปาระเบิดใส่บอสคุปป้ายักษ์สลับมินิเกม ไอ้ส่วนนี้นี่คือแทบจะเหมือนเกมใหม่อีกเกมเลย แถมเล่นได้ถึง 8 คน

ความสนุกสำหรับโหมดออนไลน์

หนึ่งสิ่งที่สังเกตได้ก็คือหลังจากภาค Superstars เป็นต้นมา เกม Mario Party ได้ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ออนไลน์มากขึ้น ไม่ได้จำกัดแค่เพียงการเล่นมินิเกมแข่งขันกัน แต่คราวนี้โหมดหลักๆ ทั้งหมดมันสามารถเล่นด้วยกันได้ทั้งหมดแบบไม่ต้องชวนเพื่อนมานั่งด้วยกันแล้ว สิ่งนี้คิดว่าเกิดจากไอเดียช่วงหลัง COVID-19 เป็นต้นมาที่ผู้เล่นไม่สามารถเดินทางมาพบหน้ากันได้แบบแต่ก่อน และแม้จะผ่านช่วงแพร่ระบาดใหญ่ ไลฟ์สไตล์การเล่นก็เลยเปลี่ยนไป

องค์ประกอบที่ถูกใส่เข้ามาเพื่อการเล่นแบบออนไลน์ได้เหมาะสมมากๆ ก็คือการใช้อีโมจิสื่อสารกัน หากยังจำกันได้ก็ใส่มาตั้งแต่ภาค Superstars แล้วที่เราสามารถกดปุ่มแสดงอารมณ์ได้ เช่นการแสดงความยินดี การแปะหน้าตาร้องไห้ ทดแทนการสื่อสารแบบเห็นหน้าค่าตา แต่แน่นอนว่าพอเป็นโหมดออนไลน์ที่ไม่ได้มีการใช้ไมโครโฟนแบบนี้ เราก็เลยใช้ในเชิงสแปมเกรียนได้ เช่นพอคู่แข่งได้เหรียญก็กดปุ่มเซ็งเป็ดใส่ซะ อย่างไรเสียไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งทางออนไลน์เพราะสแตมป์ทั้งหมดนั้นถูกออกแบบมาในแบบที่เป็นมิตร ไม่ได้มีความรุนแรง

ขาดไม่ได้ก็คือโหมด Koopathlon การแข่งขันแบบมินิเกมที่รองรับการเล่นแบบ 20 คนพร้อมกัน โหมดนี้หลายคนอาจจะวี้ดแตกกันไปแล้วตั้งแต่เปิดตัวเพราะว่านี่คือครั้งแรกที่เกมรองรับโหมดออนไลน์ในห้องขนาดใหญ่ โดยจะเป็นการแข่งมินิเกมเพื่อให้เราวิ่งไปตามช่องให้ได้มากที่สุดแบบเรียลไทม์ เหมาะกับคนที่มีเวลาเล่นไม่นานเท่าไรนักแต่อยากสนุกกับบอร์ดเกมขนาดย่อม และยิ่งมีการรุกรานจากคุปป้าเพิ่มไปด้วย ก็เลยยิ่งทำให้เกมมีความเร็วมากขึ้น จบไว ได้เสียงหัวเราะ แต่เสียแค่ว่ามีฉากให้เล่นแบบเดียวเองเท่านั้นครับ

กราฟิกและเพลงประกอบ

ตัวเกมรันที่ 1080p ความเร็วเฟรมเรตระดับ 60FPS แบบนิ่งๆ แต่สิ่งที่ผมรู้สึกก็คือคุณภาพโมเดลนั้นดีงามยอดเยี่ยมมากๆ สวยกว่า Super Mario Odyssey เสียอีก เช่นรายละเอียดของตัวโมเดลเอี๊ยมของลุงหนวด Mario ก็เป็นเอี๊ยมยีนส์เห็นกันแบบชัดๆ เลย หรือผมยาวๆ ของเจ้าหญิงที่มีการเกลี่ยบนโมเดลให้เหมือนเป็นเส้นผม ส่วนเพลงประกอบนั้นผสมผสานทั้งแนวป๊อบและร็อคเร้าใจเข้ากันในบางฉาก ช่วยสร้างบรรยากาศของปาร์ตี้ให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น

บทสรุป

Super Mario Party Jamboree ยกระดับความสนุกของภาคก่อนหน้าให้ดีขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง แต่ถ้าถามว่ามีอะไรที่พลิกโฉมในวงกว้างหรือไม่นั้นคงต้องตอบว่าอยู่ในระดับมาตรฐานทั่วไป จะมีดีตรงที่ว่าในที่สุดก็มีโหมดสำหรับเล่นคนเดียวแล้ว และสามารถออนไลน์ได้ตั้งแต่วันแรกเลย โดยรวมเหมาะกับการเล่นเพื่อสร้างความสนุกสนานในครอบครัวและเป็นทางเลือกที่เยี่ยมมากๆ สำหรับใครที่อยากจะมีอะไรไว้ต้อนรับเพื่อนๆ แถมคอนเทนต์เองก็อัดแน่นหลายโหมด (แค่มินิเกมก็มีมากที่สุดในซีรีส์ทะลุ 120 มินิเกมแล้ว) เพียงแค่รู้สึกเสียดายที่ตัวละครบางตัวถูกตัดออกไป

สำหรับใครที่สนใจ Super Mario Party Jamboree ขอบอกเลยว่าวางจำหน่ายแล้ววันนี้บน Nintendo Switch และเป็นทางเลือกสำหรับครอบครัวหรือเพื่อนๆ ที่กำลังหาเกมมาเล่นช่วงปิดเทอม หรือเทศกาลวันหยุดยาวปลายปีที่จะถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า พร้อมรองรับความสนุกให้กับทุกคนที่เรียกว่าเมื่อเล่นแล้วจะมีรอยยิ้มกันแน่นอน ส่วนโอกาสหน้านั้น ThisIsGame Thailand จะมีอะไรมาแบ่งปันอีกว่าแล้วอย่าลืมติดตามที่นี่เช่นเคยครับผม